ตกขาว เยอะ เป็นก้อน หรือมีการเปลี่ยนสี เกิดจากอะไร รักษาหายได้อย่างไร

ตกขาว หรือระดูขาว ที่อาการเบื้องจะเป็นการคัดหลั่งของเหลวที่เป็นสีใสหรือสีขุ่นออกมาจากช่องตลอด ที่ถือเป็นภาวะปกติที่หญิงสาวทุกคนต้องเจอ ซึ่งถือว่าเป็นอาการพื้นฐานของผู้หญิงที่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติ ตามช่วงวัยของสตรีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งในบางครั้งก็อาจเป็นการบ่งบอกถึงอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้เหมือนกัน ซึ่งจะเป็นการแสดงออกผ่านทางลักษณะของตกขาว โดยมีจุดสังเกตไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสี หรือกลิ่นที่ในบางครั้งจะมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป โดยที่มีโอกาสที่เป็นการส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับโรคร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือว่าเป็นภาวะที่คุณผู้หญิงทั้งหลายไม่ควรมองข้าม

ตกขาว อาการ

สำหรับจุดสังเกตของตกขาวที่สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเองก็คือ ถ้าตกขาวเป็นปกติก็จะมีลักษณะเป็น ตกขาวจะมีลักษณะสีใส หรือมีจุดแต้มขาวบ้างเล็กน้อย แต่จะไม่มีกลิ่น โดยที่สามารถเกิดขึ้นได้ในปริมาณที่มากขึ้นในช่วงกลางรอบเดือนที่มีปริมาณการตกไข่เป็นจำนวนมากของผู้หญิง หรือในช่วงเวลาก่อนที่จะเป็นประจำเดือน และหลังมีประจำเดือน ซึ่งช่วงเวลาจะไม่แน่นอน โดยที่ของแต่ละคนก็จะมีช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป

ความผิดปกติของตกขาว

ความผิดปกติสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นช่วงวัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ อย่างเช่นในวัยเด็ก สาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดก็มาจากการที่เด็กขาดความรู้และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงนำไปสู่การนำสิ่งแปลกปลอมที่ไม่พึงประสงค์เข้าไปในช่องคลอด และรวมไปถึงปัญหาที่เกิดมาจากการล่วงละเมิดทางเพศได้เช่นกัน โดยที่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ ถือเป็นช่วงเวลาที่สามารถเกิดความผิดปกติของภาวะตกขาวได้บ่อยที่สุด

ตกขาวผิดปกติกับการติดเชื้อในช่องคลอด?

สำหรับความผิดปกติของภาวะตกขาวที่มักจะเป็นอาการเบื้องต้น ที่เกิดขึ้นมากจากความผิดปกติทางร่างกาย ที่เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักให้เกิดโรคร้ายแรงที่จะตามมา โดยอาการที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการติดเชื้อภายในช่องคลอด โดยที่อาการเบื้องต้นมักจะแสดงอาการผ่านทางลักษณะของตกขาว อาการคัน และกลิ่น ซึ่งเป็นอาการพื้นฐานที่สามารถสังเกตได้ด้วยตัวเอง โดย 3 โรคหลักที่เกี่ยวข้องกับตกขาวผิดปกติ ได้แก่

  • การติดเชื้อราในช่องคลอด (VULVOVAGINAL CANDIDIASIS) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ CANDIDA ALBICANS เป็นสาเหตุของปัจจัยที่จะทำให้เกิดภาวะติดเชื้อถายในช่องคลอด โดยอาการเบื้องต้นตกขาวจะมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก โดยจะมีอาการแทรกซ้อนคือ จะมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรืออาการแสบร้อนในช่องคลอด โดยอาการของความรุนแรกจะต่างกันไปตามอาการที่เกิดขึ้น
  • การติดเชื้อแบคทีเรีย (BACTERIAL VAGINOSIS) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ได้มีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนจนมากกว่าเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้น สำหรับอาการเบื้องต้นของแบคทีเรียชนิดนี้ ส่วนมากจะไม่แสดงอาการที่ผิดปกติออกมา โดยที่ผู้ป่วยบางรายจะยังคงมีอาการของภาวะตกขาวที่ปกติ แต่จะให้สังเกตก็คือ อาจจะมีการปัสสาวะที่แสบหรือเจ็บขณะร่วมเพศสัมพันธ์ มีอาการอักเสบในช่องคลอดหรือแสบร้อนตรงบริเวณช่องคลอดมีโอกาสที่พบเจอได้น้อยกว่าปกติ
  • การติดเชื้อทริโคโมแนส (TRICHOMONIASIS) เกิดจากเชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS (TV) ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ อาการเบื้องต้นก็คือ ตกขาวจะมีสีที่เปลี่ยนไป โดยจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีเขียวหรือสีเทา ถือเป็นอาการเบื้องต้นที่สามารถสังเกตได้ โดยจุดสังเกตเพิ่มเติมก็คือจะมีอาการแสบคันบริเวณปากช่องคลอด และช่องคลอด โดยที่ในการปัสสาวะทุกครั้งจะมีอาการแสบขัด และมีจุดเลือดออกบริเวณช่องหลอดและปากมดลูก ซึ่งภาวะตกขาวในขั้นนี้ ถือว่าเป็นภาวะที่ควรรีบไปรับคำปรึกษาจากแพทย์มากที่สุด

สีในตกขาว และความผิดปกติต่าง ๆ

สาเหตุหลักในการติดเชื้อที่จะทำให้เกิดเป็นภาวะตกขาวที่ผิดปกติ ที่เป็นจุดสังเกตของอาการที่เป็นสาเหตุของความผิดปกติก็คือ แบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อต่าง ๆ ที่สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ เป็นต้น ส่วนสาเหตุอื่นที่มีโอกาสทำให้เกิดภาวการณ์ติดเชื้อได้ก็คือ เนื้องอก มะเร็ง เป็นต้น โดยจะแสดงอาการตกขาวที่ไม่ปกติออกมาให้สังเกตในลักษณะคือ กลิ่นและสีที่เปลี่ยนไป โดยจะมีสีเหลือง เขียว เทา ตามระดับการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็อาจมีเลือดปน หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น คัน มีไข้ ปวดท้อง เป็นต้น

  • สีเขียว เป็นสาเหตุที่เกิดมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่สามารถเป็นสาเหตุมาจากการติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ สำหรับภาวะชนิดนี้ถือเป็นภาวะเริ่มต้น ควรเข้าตรวจเช็คว่าสาเหตุมาจากเชื้ออะไร หรืออาจจะเป็นพยาธิก็ได้
  • สีขาวขุ่น เป็นสีที่แสดงออกถึงอาการของเชื้อรา มักจะมีอาการข้างเคียงที่เป็นจุดสังเกตก็คือ จะมีอาการคัน หรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอด รวมไปถึงมีอาการแสบร้อนในขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์
  • สีเทา เป็นสาเหตุที่เกิดมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคนั้นต้องเข้าพบแพทย์โดยตรง เพื่อตรวจสอบว่าเป็นแบคทีเรียชนิดไหน
  • สีน้ำตาล หรือลักษณะของตกขาวที่มีเลือดปน สำหรับสาเหตุของอาการนี้จะมีข้อน่าเป็นห่วงมากกว่าข้ออื่น ๆ ต้องรีบเข้าพบแพทบ์เพื่อตรวจให้ละเอียด เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะมีโอกาสเป็น เนื้องอก หรือมะเร็งปากมดลูก

วิธีสังเกตอาการที่แตกต่างกันออกไป

ตกขาว คือสารคัดหลั่งที่ถูกขับออกมาจากทางช่องคลอด โดยมีหน้าที่เพื่อเป็นตัวช่วยในการหล่อลื่น และรวมไปถึงป้องกันการติดเชื้อต่าง ๆ ซึ่งปริมาณ และสีก็จะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ตามช่วงเวลาของรอบเดือนนั้น ๆ โดยที่อาจจะมีลักษณะดังนี้

  • วันที่ 1-5 ของรอบเดือน : เป็นช่วงที่มีเลือดประจำเดือน
  • วันที่ 6-14 ของรอบเดือน : ช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่มีภาวะตกขาวน้อยที่มีอาการน้อยที่สุด ตกขาวมีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลือง และอาจมีลักษณะเหนียวได้
  • วันที่ 14-25 ของรอบเดือน : ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนวันตกไข่ จุดสังเกตก็คือ ตกขาวในช่วงนี้จะเกิดอาการที่มีลักษณะเป็นเมือกลื่น ๆ ซึ่งจะคล้ายกับไข่ขาวของไข่ไก่ แต่หลังจากมีการตกไข่ ตกขาวจะกลับมามีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลืองอีกครั้ง
  • วันที่ 25-28 ของรอบเดือน : ช่วงเวลาก่อนที่จะมีประจำเดือน สำหรับช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่ภาวะของตกขาวน้อยที่สุด ในบางครั้งจะมีปริมาณที่น้อยลง จนจางหายไป

การรักษาอาการตกขาวผิดปกติ

สำหรับการรักษาเบื้องต้นของอาการภาวะตกขาวก็คือ แพทย์จะดูลักษณะของความผิดปกติที่เกิดขึ้น และรักษาตามอาการ โดยจะเป็นการตรวจเช็ค และสอบถามข้อมูล ถ้าหากแพทย์พบว่าภาวะตกขาวเกิดมาจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะทำการฉีดยาปฏิชีวนะ แต่ถ้าสาเหตุมาจากการติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ แพทย์จะทำการจ่ายยาให้ทั้งผู้ป่วย และคู่นอน เพราะมีโอกาสสูงที่จะเกิดโรคติดต่อขึ้นได้ทั้ง 2 คน

แต่ถ้าหากอาการเบื้องต้นเกิดมาจากสาเหตุของเชื้อรา แพทย์จะทำการให้ยาฆ่าเชื้อ หรือฉีดยาฆ่าเชื้อให้ โดยจะแตกต่างกันไปตามอาการที่เหมาะสม ซึ่งอาการเบื้องต้นสามารถรักษาตัวให้หายด้วยตัวเองได้ สำหรับการรักษาจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์โดยตรง

เมื่อไหร่จึงควรไปพบแพทย์?

ปกติแล้วการติดเชื้อ หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงอาจมีการส่งผลโดยตรงที่ทำให้เกิดภาวะตกขาวที่ผิดปกติได้ ซึ่งบางครั้งจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด เพื่อหาสาเหตุของอาการที่เกิด และเข้ารับการรักษาด้วยขั้นตอนที่ถูกต้อง แต่เวลาไหนจึงจะเหมาะสมที่สุดในการไปพบแพทย์?

  • มีลักษณะแดง คัน เจ็บ แสบร้อน หรือระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศ หรือช่องคลอด
  • ตกขาวมีลักษณะเป็นฟอง หรือมีลักษณะคล้ายแป้งเปียก
  • ตกขาวมีสีเหลือง เขียว หรือเทา
  • มีเลือด หรือเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน
  • มีกลิ่นรุนแรง

ปัญหาความผิดปกติของตกขาวสามารถป้องกันได้

โดยปกติแล้วบริเวณช่องคลอดจะมีแบคทีเรียเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้จะคอยเป็นตัวปกป้องช่องคลอด เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อที่ไม่พึงประสงค์ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายมีการรับยาฆ่าเชื้อเข้าไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้แบคทีเรียชนิดดังกล่าวถูกทำร้ายไปได้ และรวมไปถึงการนอนพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ ที่มีผลโดยตรงที่ทำให้มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำลง สาเหตุเหล่านี้อาจทำให้เกิดการติดเชื้อ และรวมไปถึงช่วงหลังมีประจำเดือน หรือใกล้มีประจำเดือน ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงได้เหมือนกัน

ข้อแนะนำสำหรับผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป สำหรับหญิงสาวที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์แล้ว ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพภายในเป็นประจำทุกปี เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพื่อที่จะได้เข้ารับการรักษาได้ทันเวลา

สรุป

หากมีภาวะตกขาวที่มากผิดปกติ หรือเป็นซ้ำ ๆ บ่อย ๆ อย่างนิ่งนอนใจไป เพราะอาการดังกล่าวจะส่งผลโดยตรงต่อปีกมดลูกเกิดการอักเสบ ท่อน้ำไข่ตัน ภาวะมีบุตรยาก มีก้อนฝี หรือเป็นภาวะเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ โดยการรักษาก็จะแยกกันไปตามอาการที่เกิดขึ้น ซึ่งหากตรวจพบว่าเป็นอาการที่เกิดมากจากการมีเพศสัมพันธ์ ก็จำเป็นที่จะต้องมีการให้ยาในการรักษาร่วมด้วยกับคู่หลับนอน แต่ไม่ว่าสาเหตุของภาวะตกขาวจะเกิดมาจากสาเหตุใดก็ตาม ควรมาพบแพทย์สูตินรีแพทย์โดยตรง เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุ และเข้ารับวิธีการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top