แมกนีเซียม (Magnesium) คือ กลุ่มธาตุโลหะอัลคาไลน์เอิร์ธ มีตัวอักษรย่อตามตารางธาตุว่า Mg ลักษณะทางกายภาพจะมีเนื้ออ่อนนุ่ม สีเทาเงิน สามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นอย่างรุนแรงได้ แต่พบธาตุนี้ตามธรรมชาติได้น้อยมาก มักพบรวมกับแร่ธาตุชนิดอื่น เช่น แมกนีไซต์, โดลาไมต์ และคาร์แนลไลต์
แม้จะเป็นธาตุโลหะ แต่แมกนีเซียมที่อยู่ในร่างกายมนุษย์จะอยู่ในรูปของไอออน มีบทบาทสำคัญต่อการดำรงชีวิตและเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาทางชีวเคมีในร่างกายกว่า 300 ชนิด แมกนีเซียมจึงมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท, กล้ามเนื้อ, ระดับน้ำตาลในเลือด, กระดูก และระบบอวัยวะอื่น ๆ อีกมากมาย
ประโยชน์ของแมกนีเซียม (Benefits of Magnesium) ในร่างกายมนุษย์
เสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
แมกนีเซียมมีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างกระดูกและฟัน เนื่องจากแมกนีเซียมช่วยสนับสนุนการดูดซึมแคลเซียม และกระตุ้นเอนไซม์ที่ช่วยสร้างสารพันธุกรรมจำเป็นต่อกระบวนการสร้างกระดูก นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังเป็นปัจจัยของการนำแคลเซียมออกมาใช้งานในร่างกาย โดยทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนแคลซิโทนิน (Calcitonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมแคลเซียมในร่างกาย
มีผลต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ
แมกนีเซียมมีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อ หากมีปริมาณแมกนีเซียมในร่างกายต่ำเกินไป (Hypomagnesemia) อาจส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง, เป็นตะคริว, และทำงานผิดปกติได้ ซึ่งมักพบภาวะได้บ่อยในนักกีฬา
ส่งเสริมการทำงานของระบบประสาท
แมกนีเซียมมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบประสาท เนื่องจากมีส่วนช่วยควบคุมการปล่อยสารสื่อประสาท ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เสมือนตัวกลางที่ใช้พูดคุยกันระหว่างเซลล์ประสาท นอกจากนี้ แมกนีเซียมยังช่วยคงสภาพของเยื่อปกป้องสมอง (Blood-brain barrier) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้สมองได้รับอันตรายจากสารพิษในร่างกายอีกด้วย
ส่งเสริมสุขภาพระบบหัวใจและหลอดเลือด
แมกนีเซียมมีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของระบบหัวใจและหลอดเลือดหลายประการ ดังนี้
- การเต้นของหัวใจ ต้องอาศัยแมกนีเซียมเป็นหนึ่งในปัจจัยการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ (สอดคล้องกับที่แมกนีเซียมมีบทบาทต่อการทำงานของกล้ามเนื้อ)
- แมกนีเซียมทำให้กล้ามเนื้อเรียบในผนังหลอดเลือดแดงคลายตัว ช่วยลดความดันโลหิต
- แมกนีเซียมช่วยลดการสร้างลิ่มเลือด อาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอุดตัว หรือลิ่มเลือดอุดตันได้
ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
แมกนีเซียมมีบทบาทในกระบวนการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด) และช่วยให้เซลล์รับอินซูลินได้ดีขึ้น หากเกิดภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ อาจทำให้เซลล์ดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลินจนกลายเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
มีผลต่อการสร้างพลังงานในร่างกาย
แมกนีเซียมเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตสารให้พลังงาน ATP (Adenosine Triphosphate) รวมถึงการกระตุ้นให้เซลล์นำพลังงานไปใช้อย่างเหมาะสม หากแมกนีเซียมในเลือดต่ำอาจทำให้เซลล์ขาดพลังงาน และอาจกลายเป็นวงจรต่อเนื่องให้ร่างกายทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ
สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
แมกนีเซียมมีความสำคัญในการสร้างแอนติบอดีของเม็ดเลือดขาวชนิดบี เมื่อร่างกายได้รับเชื้อโรคเข้ามาในร่างกาย เม็ดเลือดขาวชนิดนี้จะถูกกระตุ้นให้จดจำและสร้างแอนติบอดีออกมาต่อสู้กับเชื้อโรค และเมื่อร่างกายเจอเข้ากับเชื้อโรคเหล่านี้อีกครั้ง เม็ดเลือดขาวจะถูกกระตุ้นให้สร้างแอนติบอดีออกมาต่อสู้กับเชื้อโรคได้เร็วขึ้น ซึ่งแมกนีเซียมจะมีบทบาทในกระบวนการเหล่านี้
มีผลต่อสุขภาพจิต
สืบเนื่องจากการสร้างสารสื่อประสาท แมกนีเซียมมีผลต่อการสร้างซีโรโทนินและโดพามีน ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้มีผลต่อสภาวะทางอารมณ์ หากแมกนีเซียมในเลือดต่ำอาจทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า, วิตกกังวล และภาวะทางจิตอื่น ๆ ได้
ประโยชน์ของแมกนีเซียมในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
- ชะลอวัย: แมกนีเซียมมีคุณสมบัติชะลอวัย เพราะช่วยลดเลือนริ้วรอยและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นและเต่งตึง ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจึงนิยมผสมแมกนีเซียมเพื่อเสริมประสิทธิภาพของสารบำรุงผิวอื่น ๆ เช่น ไนอะซินาไมด์, โจโจบา ออยล์ เป็นต้น
- ลดการเกิดสิว: แมกนีเซียมมีคุณสมบัติควบคุมการผลิตไขมันของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง จึงช่วยลดการอุดตันรูขุมขน ลดการเกิดสิวอักเสบ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบได้ด้วย
- เพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิว: หนอกจากจะช่วยให้ผิวเต่งตึงขึ้นแล้ว แมกนีเซียมยังช่วยฟื้นฟูผิวให้ลดรอยแตกระหว่างชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวอุ้มน้ำได้ดีกลับมานุ่มชุ่มชื่นอีกครั้ง
- ปกป้องผิว: แมกนีเซียมเปรียบเสมือนเกราะป้องกันตามธรรมชาติของผิวหนัง ช่วยป้องกันไม่ให้ผิวถูกทำลายจากมลภาวะรอบกาย อีกทั้งยังช่วยปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต เมื่อร่างกายได้รับแมกนีเซียมอย่างเพียงพอควบคู่กับการใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกแสงแดดทำลายเซลล์ผิวหนังได้
- บำรุงหนังศีรษะ: ผลิตภัณฑ์ยาสระผมและครีมนวดผม มักผสมแมกนีเซียมลงไปเป็นหนึ่งในส่วนประกอบด้วย เพราะแมกนีเซียมมีคุณสมบัติช่วยให้หนังศีรษะมีความแข็งแรง ควบคุมต่อมไขมันไม่ให้หลั่งไขมันออกมามากหรือน้อยเกินไป และยังช่วยขจัดรังแคได้ดีด้วย
แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแมกนีเซียม และปริมาณที่แนะนำต่อวัน
แมกนีเซียมสามารถพบได้ในอาหารหลายหลายชนิด ได้แก่
- ช็อกโกแลต
- อัลมอนด์
- ผักโขม
- อะโวคาโด
- ถั่วดำ
- ขนมปังธัญพืช
- ปลาแซลมอน
- นมและผลิตภัณฑ์จากนม
- กล้วย
ปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำต่อวันอาจแตกต่างกันไปตามอายุและเพศ สำหรับปริมาณที่แนะนำในผู้ใหญ่อายุ 19 ปีขึ้นไป คือ 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งอาหารที่รับประทานในแต่ละวันนั้นถือว่ามีปริมาณแมกนีเซียมที่เพียงพอที่ร่างกายต้องการแล้ว
ขอขอบคุณข้อมูลจาก