เรตินอล (Retinol) คืออะไร ช่วยเรื่องอะไร มีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง?

เรตินอล (Retinol) คือ อนุพันธ์วิตามินเอ (Vitamin A) ที่เป็นส่วนผสมที่ถูกผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1947 อันเป็นหนึ่งในสารประเภทเรตินอยด์ (Retinoid) ที่ถูกใช้เป็นส่วนประกอบของครีมลดริ้วรอยในปัจจุบัน เรตินอลเป็อนุพันธ์วิตามินเอที่มีอ่อนโยนต่อผิวมากกว่าเรตินอยด์

ซึ่งเรตินอลมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว และกรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) รวมถึงเร่งกระบวนการสร้างเซลล์ให้เร็วยิ่งขึ้น อันเป็นสารธรรมชาติที่อยู่ในร่างกาย ส่งผลให้ริ้วรอย หรือรอยย่นต่าง ๆ ตามวัยแลดูตื้นขึ้น และช่วยผลัดเซลล์เก่า เผยผิวใหม่ที่แลดูกระจ่างใส ชวยลดเลือดจุดด่างดำ รวมถึงลดการสร้างน้ำมันใต้ชั้นผิว ลดการอุดตันของรูขุมขน อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว ทำให้หน้าที่ช่วยรักษาสิวชนิดต่างๆ ลดโอกาสสิวเกิดใหม่ สิวหัวดำ และลดขนาดรูขุมขนได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตามเรตินอลต้องใช้แบบระยะยาว อย่างน้อยหนึ่งเดือน จึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ ซึ่งเหตุผลที่ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลเป็นตัวเลือกยอดนิยมในปัจจุบัน ก็เพราะสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าชั้นนำทั่วไป ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งจากแพทย์ประกอบในการซื้อเหมือนกับผลิตภัณฑ์ที่มีสารเรตินอยด์บางชนิดผสมอยู่

อายุเท่าไร จึงควรเริ่มใช้ Retinol

มีการแนะนำให้เริ่มใช้เรตินอลเมื่ออายุเข้าสู่ช่วง 20 ปีปลาย จนถึงช่วงอายุ 30 ปีเป็นต้นไป เนื่องจากเมื่อร่างกายก้าวล่วงเลยเกิน 25 ปี การสร้างคอลลาเจนนั้นจะลดน้อย โดยคอลลาเจนในร่างกายจะสูญเสียไปถึงปีละ 1.5% ซึ่งในช่วงวัย 30 ปี การสร้างคอลลาเจนของร่างกายจะเหลือเพียง 20 – 30% ที่สำคัญคอลลาเจนคือส่วนประกอบหนึ่งในร่างกายที่มีสัดส่วนถึงสูงถึง 75% ดังนั้นคอลลาเจนที่ลดลง จึงส่งผลทำให้ผิวพรรณเกิดริ้วรอย หย่อนคล้อย ไม่กระชับ แห้งเป็นขุย หากเริ่มดูแลผิวพรรณด้วยเรตินอลจะช่วยลดการเกิดริ้วรอยตามวัยของผิวได้ แต่หากใช้เรตินอลในช่วงวัยรุ่นก็อาจจะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนมากนัก

การใช้ Retinol ที่ถูกต้อง 

เนื่องจากเรตินอลมีฤทธิ์ช่วยในการกระตุ้นวงจรการผลัดเซลล์ผิว (Skin Cell Turnover) ที่เป็นกระบวนการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนที่ตายหลุดออกให้เป็นขี้ไคล เพื่อเผยผิวใหม่ แต่เพราะผิวที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนขึ้นมา อาจจะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ และกลไกของเรตินอลที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นกรดวิตามินเอ เมื่อสัมผัสลงบนผิว บางคนจึงเกิดการระคายเคืองผิวจากการใช้เรตินอล รวมถึงผิวจะมีความไวต่อแสงมากขึ้น

ซึ่งเรตินอลสามารถใช้ได้ทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เพียงแต่เรตินอลบางชนิดอาจเสื่อมสภาพลงเมื่อโดนแสงแดด สิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล คือควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอลเข้มข้น 0.05 % ในช่วงเริ่มต้น และใช้ในปริมาณน้อยๆ ขนาดเท่าเม็ดถั่วทั่วทั้งใบหน้า ในเวลากลางคืนสักประมาณหนึ่งสัปดาห์ก่อน เพื่อให้ผิวได้ปรับสภาพและลดความเสี่ยงในการระคายเคือง หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณปริมาณของผลิตภัณฑ์หรือเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของเรตินอล รวมถึงเพิ่มการทาผลิตภัณฑ์อื่นๆในการบำรุง ร่วมด้วยได้ และต้องทาครีมกันแดด ที่มี SPF15 ขึ้นไป ในปริมาณอย่างเพียงพอสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันผิวจากรังสี UVA หรือ รังสีอัตราไวโอเลตชนิด A (ultraviolet A-rays)  และ UVB คือ รังสีอัตราไวโอเลตชนิด B (ultraviolet B-rays) ที่ส่งผลทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำ และเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น

หากผิวเกิดการแห้ง ระคายเคือง จากการใช้เรตินอล แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้เรตินอลเพียง 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์แทน เมื่ออาการดีขึ้นจึงค่อยปรับมาใช้วันละครั้งต่อวันแทน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้งาน

Retinol ควรใช้คู่กับอะไร

ขั้นตอนการใช้ที่แนะนำคือ เมื่อทำความสะอาดผิวบริเวณใบหน้าเสร็จเรียบร้อย ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเรตินอลเป็นอันดับแรก ก่อนจะตามด้วยผลิตภัณฑ์มอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น จากนั้นตามด้วยเซรั่มหรือครีม เพื่อช่วยฟื้นบำรุงผิวและแก้ปัญหาผิวอย่างตรงจุด ปิดท้ายด้วยผลิตภัณฑ์กันแดดเพื่อปกป้องผิวและป้องกันการเกิดริ้วรอยแห่งวัย

อย่างไรก็ตาม หากใช้เรตินอลคู่กับผลิตภัณฑ์ต่อไปนี้ ก็จะช่วยเสริมประสิทธิภาพของกันและกัน และก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกับผิวหน้าได้ เช่น

  • คู่เรตินอล + กรดไฮยาลูรอนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และลดการระคายเคืองของผิว
  • คู่เรตินอล + BHA/AHA ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวเก่า ป้องกันการเกิดสิว ช่วยลดเลือนริ้วรอย ฝ้า กระ จุดด่างดำ และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

Retinol ไม่ควรใช้คู่กับอะไร

นอกจากนี้เรตินอลยังมีข้อจำกัดในการใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ เนื่องจากเป็นการลดประสิทธิภาพของกันและกัน เรตินอลห้ามใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ ดังนี้

  • คู่เรตินอล + เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ หรือ Benzoyl Peroxide ซึ่งเป็นยาทาสำหรับรักษาสิว ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และช่วยชะล้างน้ำมันส่วนเกินและสิ่งสกปรกออกได้ง่ายขึ้น จึงส่งผลทำให้ผิวแห้ง เมื่อมาใช้คู่กับเรตินอลจึงอาจลดทอนประสิทธิภาพของกันและกัน และอาจทำให้ผิวแห้งมากเกินไปจนเกิดทำให้เกิดการระคายเคือง

ผลข้างเคียงของ Retinol

ผลข้างเคียงของการใช้เรตินอล ส่วนมากคือการเกิดอาการระคายเคือง ผิวแห้ง ผิวลอกเป็นขุย เกิดได้ทั้งจากการแพ้ส่วนบุคคล หรือผลิตภัณฑ์มีสัดส่วนของเรตินอลมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มีการปรับสูตรของส่วนผสมเรตินอลในผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เพื่อลดโอกาสเกิดอาการระคายเคือง และออกฤทธิ์ให้เซลล์ผิวหนังทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไป

Retinol ห้ามใช้ในผู้ที่ต้องครรภ์ และผู้ให้นมบุตร

เรตินอลและสารต่างๆ ในกลุ่มกรดวิตามินเอ เป็นสารที่อันตรายต่อผู้ที่ตั้งครรภ์และผู้ที่ให้นมบุตรอย่างมาก เพราะเสี่ยงต่อการที่เด็กจะดูดซึมสารนั้นๆ จนอาจเสี่ยงเกิดอันตรายได้ ดังนี้

  • ทารกพิการแต่กำเนิด : เรตินอลและสารต่างๆ ในกลุ่มกรดวิตามินเอ ส่งผลให้การสร้างอวัยวะของเด็กในครรภ์ผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วง 1-3 เดือนแรกของช่วงตั้งครรภ์ จนอาจทำให้เด็กมีอวัยวะพิการแต่กำเนิด อาทิ ปากแหว่ง เพดานโหว่ ศีรษะโต แขนขาพิการ รวมถึงอาจพบข้อบกพร่องทางสมอง ระบบประสาท และสติปัญญาในภายหลังได้
  • ภาวะแท้งบุตร :  เรตินอลและสารต่างๆ ในกลุ่มกรดวิตามินเอ ส่งผลให้เสี่ยงเกิดภาวะแท้งบุตรได้
  • คลอดก่อนกำหนด : การใช้เรตินอลและสารต่างๆ ในกลุ่มกรดวิตามินเอเป็นเวลานาน แม้จะอาจไม่ทำให้เกิดภาวะแท้ง แต่อาจทำให้เกิดการคลอดบุตรก่อนกำหนดได้ และอาจทำให้เด็กเสี่ยงมีภาวะแทรกซ้อน อาทิ หัวใจล้มเหลว ติดเชื้อในกระแสเลือด เลือดออกในสมอง เป็นต้น

Bakuchiol ส่วนผสมที่คล้าย Retinol

บากูชิล หรือ Bakuchiol คือสารชนิดหนึ่งที่สกัดจากธรรมชาติ มาจากเมล็ดของต้น Babchi ซึ่งเป็นพืชในตระกูลถั่ว ซึ่งมีสรรพคุณช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของผิวหนัง ช่วยลดเลือนริ้วรอยฝ้า กระ จุดด่างดำ ทำให้รูขุมขนกระชับ ปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอ และช่วยเสริมความแข็งแรงให้ผิวหน้า เพราะบากูชิล มีโอกาสส่งผลให้ผิวเกิดการระเคืองน้อยกว่าเรตินอล จึงกลายมาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับผู้ที่แพ้เรตินอลนั่นเอง

สรุปแล้ว

เรตินอล (Retinol) เป็นอนุพันธ์วิตามินเอ (Vitamin A) ) หนึ่งในสารประเภทเรตินอยด์ (Retinoid) ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของครีมลดริ้วรอยในปัจจุบัน เรตินอลมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว และกรดไฮยาลูรอนิค ที่ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น รวมถึงบำรุงและลดเลือนริ้วรอย เรตินอลควรเริ่มใช้ตั้งแต่ช่วงอายุ 25 ปีเป็นต้นไป เพราะหากเริ่มดูแลผิวไวในช่วงอายุดังกล่าว จะได้ผลลัพธ์จากผลิตภัณฑ์ที่ช่วยฟื้นฟูผิวได้ดีขึ้น

ผู้ที่เริ่มใช้เรตินอล ควรเริ่มจากความเข้มข้น 0.05 % และใช้ในปริมาณเท่าเม็ดถั่ว จึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณต่อไปตามความเหมาะสม เรตินอลสามารถใช้คู่กับ กรดไฮยาลูรอนิค และ BHA/AHA ได้ เพราะเป็นการเสริมประสิทธิภาพให้แก่กัน แต่ไม่ควรใช้เรตินอลคู่กับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เพราะอาจส่งผลให้ผิวแห้งเกินไปจนอาจเกิดการระคายเคืองได้

อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน มีการใช้ บากูชิล หรือ Bakuchiol ซึ่งเป็นสารชนิดหนึ่งที่สกัดจากธรรมชาติจากเมล็ดของต้น Babchi ผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและริ้วรอย เป็นอีกตัวเลือกสำหรับผู้ที่แพ้เรตินอล เนื่องจากสารชนิดนี้มีสรรพคุณคล้ายเรตินอล แต่มีความอ่อนโยนต่อผิว ลดโอกาสเกิดการระคายเคืองนั่นเอง

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top