กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) เป็นความผิดปกติของทางเดินปัสสาวะ ที่มีการติดเชื้อที่ไต (Kidney) ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของระบบทางเดินปัสสาวะอย่างฉับพลันและรุนแรง ทำให้ช่วงกรวยไตมีการอักเสบ และอาจเกิดความเสียหายต่อไตอย่างถาวร กรวยไตอักเสบจัดเป็นโรคหนึ่งที่มาจากพฤติกรรมส่วนตัวของบุคคลนั้น โดยการตรวจพบโรคนี้จะพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในขณะเดียวกันกรวยไตอักเสบ จะทำให้เกิดโรคภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ไตวายเรื้อรัง รวมถึงกระเพาะปัสสาวะอักเสบเช่นกัน
ลักษณะของโรคกรวยไตอักเสบ
กรวยไตเป็นอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายโพรง เชื่อมต่อกับท่อไตโดยตรง ทำหน้าที่กำจัดของเสียในรูปของปัสสาวะ ซึ่งกรองของเสียออกจากไตในกระบวนการดูดกลับของไต (Tular Reabsorbtion) เพื่อดูดน้ำและสารอาหาร จากนั้นลำเลียงของเสียจากกลไกการขับทิ้ง (Tubular Secretion) เพื่อส่งออกไปสู่ท่อไต อาการของกรวยไตอักเสบนั้น จะแบ่งตามลักษณะได้สองแบบคือ กรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute Pyelonephritis) และกรวยไตอักเสบแบบเรื้อรัง (Chronic Pyelonephritis) ลักษณะของอาการที่แสดงออกทั้งสองแบบมีความแตกต่างกัน โดยจะอธิบายได้ดังนี้
- กรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลัน (Acute Pyelonephritis) จะเป็นความผิดปกติที่ติดเชื้อจากแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบ (Gram Negative Bacteria) เช่น เชื้อ E.Coli (Escherichia Coli) หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าอีโคไล, เชื้อเครบซิลล่า (Klebsiella) และเชื้อซูโดโมนาส (Pseudomonas) โดยอาการของกลุ่มนี้จะแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจน และรักษาให้หายขาดภายใน 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับร่างกายแต่ละบุคคล
- กรวยไตอักเสบแบบเรื้อรัง (Chronic Pyelonephritis) ในกลุ่มนี้จะไม่แสดงอาการใดๆ แต่มีความรุนแรงสูง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกรวยไต อาจจะเกิดตรงบริเวณไตข้างใดข้างหนึ่งหรือกรวยไตทั้งสองข้าง สามารถตรวจผลทางปฏิบัติการได้จากการเพาะเชื้อแบคทีเรีย และเม็ดเลือดขาวที่ปนในปัสสาวะ ซึ่งจะมีการอักเสบของกรวยไตเป็นเวลานาน ทำให้เซลล์ของไตถูกทำลาย และเสี่ยงไตวายเรื้อรังได้
อาการ กรวยไตอักเสบ
จากลักษณะของโรคกรวยไตอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง จะมีการแสดงอาการของกรวยไตอักเสบออกมาคล้ายกัน ขึ้นอยู่กับการแสดงออกของโรคในแต่ละบุคคล ซึ่งจะมีอาการต่างๆ ดังนี้
- มีไข้สูงเกิน 37.5 องศา มีอาการหนาวสั่น
- อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ
- มีอาการปวดท้องร่วมด้วย หรือรู้สึกปวดท้องบริเวณข้างใดข้างหนึ่ง
- คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร บางรายไม่สามารถทานอาหารได้
- ปัสสาวะมีสีขุ่น อาจมีเลือดปน หรือมีหนองปน บางรายปัสสาวะมีกลิ่นผิดปกติ
- รู้สึกแสบขัดขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะกะปริบกะปรอยอยู่ตลอดเวลา
การวินิจฉัยโรคกรวยไตอักเสบ
- การตรวจปัสสาวะ (Urine tests) : ในขั้นตอนนี้จะเป็นการตรวจสารในปัสสาวะ เพื่อดูความผิดปกติของไต และอาการทั่วไปอื่นๆ ว่ามีการติดเชื้อที่ไตหรือไม่ โดยแพทย์จะทำการตรวจปัสสาวะ ช่วยตรวจหาแบคทีเรีย เม็ดเลือดขาว เม็ดเลือดแดง และหนองที่ปนในปัสสาวะ
- การตรวจด้วยภาพเอกซ์เรย์ : ในกรณีมีอาการเสี่ยงต่อการเกิดโรคกรวยไตอักเสบ แพทย์จะทำการเอกซ์เรย์เพื่อดูความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ ความผิดปกติของหน่วยไต และความผิดปกติอื่นๆ เช่น ซีสต์ เนื้องอก นิ่วในไต หรือการอุดตันของระบบทางเดินปัสสาวะ หากไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 72 ชั่วโมง จะมีการเข้าเครื่อง CT Scan เพื่อดูสิ่งอุดตันในทางเดินปัสสาวะเพิ่มเติม
- การตรวจด้วยรังสีวิทยา : ในการรักษาด้วยรังสีวิทยา จะมีการถ่ายภาพผ่านสารกัมมันตรังสี ซึ่งจะทดสอบกรดไดเมอร์แคปโตซัคซินิก (DMSA หรือเรียกสั้นๆ ว่า “วิธีสแกนไต”) เพื่อดูรอยแผลหรือการอักเสบของไต และแสดงจุดติดเชื้อในกรวยไตผ่านสารกัมมันตรังสีในบริเวณนั้น
การรักษาโรคกรวยไตอักเสบ
ในผู้ป่วยโรคกรวยไตอักเสบ ควรรับการรักษาตั้งแต่การได้รับวินิจฉัยในช่วงแรก เพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนร่วม เช่น โลหิตเป็นพิษ (Septicemia) และโรคไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury) โดยจะต้องมีการเพาะเชื้อทั้งปัสสาวะและเลือด หลังจากการได้รับคำวินิจฉัยจากแพทย์ภายใน 24-48 ชั่วโมง เพื่อดูความผิดปกติก่อนจะให้ทานยาปฏิชีวนะ และติดตามเพื่อประเมินการรักษา รวมถึงนัดการตรวจซ้ำอีกครั้งใน 1-2 วันต่อสัปดาห์ จนกว่าอาการจะดีขึ้นและไม่แสดงอาการรุนแรงของโรคอีก การรักษาอาการจะอยู่ในคำวินิจฉัยของแพทย์เป็นหลัก ซึ่งมีวิธีการรักษาดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ : การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นแนวทางแรกในการรักษาโรคกรวยไตอักเสบเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม ชนิดของยาปฏิชีวนะที่แพทย์เลือกนั้นขึ้นอยู่กับว่ามีประสิทธิภาพในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้หรือไม่ ในบางกรณีจะใช้ยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพการรักษาในวงกว้างแทน เช่น
- Levofloxacin
- Ciprofloxacin
- Co-trimoxazole
- Ampicillin
- เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อดูอาการ : ในบางกรณีหากการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผลในภาวะกรวยไตอักเสบเรื้อรัง มีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การรักษาอาจรวมถึงการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และยาปฏิชีวนะเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง รวมถึงแพทย์จะตรวจเลือดและปัสสาวะเพื่อเพาะเชื้อในห้องปฏิบัติการเพื่อดูความผิดปกติของปัสสาวะและเลือด
- การผ่าตัด : หากมีการติดเชื้อในไตซ้ำๆ อาจเกิดจากปัญหาจากการรักษา หรืออาการแทรกซ้อนที่แฝงอยู่ ในกรณีดังกล่าวอาจต้องผ่าตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อเข้าที่เซลล์ไต การผ่าตัดอาจจำเป็นต้องผ่าส่วนที่ไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะออก ในกรณีของกรวยไตอักเสบเรื้อรัง และมีการติดเชื้อรุนแรงร่วมด้วย อาจจำเป็นต้องตัดไต เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียแพร่กระจาย
“กรวยไตอักเสบ” รักษาหายไหม
ในโรคกรวยไตอักเสบแบบเฉียบพลัน มีโอกาสรักษาหายขาดกว่าโรคกรวยไตอักเสบแบบเรื้อรัง เนื่องจากใช้เวลาการพักฟื้นสั้นกว่า ซึ่งใช้เวลาภายใน 2-3 สัปดาห์ และสามารถดูแลอาการด้วยตนเองที่บ้านภายใต้การรักษาของแพทย์ได้ แต่ต้องมีการดูแลตนเองอย่างถูกวิธีและพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ส่วนโรคกรวยไตอักเสบแบบเรื้อรัง โอกาสรักษาหายขาดน้อยกว่า และยังอยู่ในการเฝ้าระวังการติดเชื้อแทรกซ้อน เพราะมีความผิดปกติของไตรุนแรง จึงมีความเสี่ยงต่ออาการไตเสียหายอย่างถาวร หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
การป้องกันโรคกรวยไตอักเสบ
การป้องกันโรคกรวยไตอักเสบสามารถปรับพฤติกรรมการดำเนินชีวิต โดยมีวิธีป้องกัน เช่น
- ลดการอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน : การอั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ และเสี่ยงต่อการติดเชื้อบริเวณกรวยไตเพิ่มขึ้น
- ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วต่อวัน : การดื่มน้ำช่วยเพิ่มปริมาณของปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยขจัดของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ซึ่งทำให้เซลล์ไตและกรวยไตทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการป้องกันนิ่วในไต (Kidney Stone) เนื่องจากปัสสาวะมีสีขุ่น ทำให้เกิดการตกตะกอนของนิ่วบริเวณกรวยไตได้
- ทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง : หลังการเข้าสุขาทุกครั้ง ควรทำความสะอาดจากด้านหน้าไปด้านหลังด้วยน้ำสะอาด และซับให้แห้งด้วยกระดาษชำระ เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะโดยตรง และลดกลิ่นอับชื้นบริเวณอวัยวะเพศ
- หลังมีเพศสัมพันธ์ควรทำความสะอาด : การทำความสะอาดอวัยวะเพศหลังการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากจะป้องกันเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ และระบบสืบพันธุ์แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่นกัน
- สังเกตอาการผิดปกติ : เมื่อสังเกตความผิดปกติ เช่น มีอาการปัสสาวะขัด มีอาการปวดท้อง หรือสีปัสสาวะมีสีขุ่นลง หรือมีเลือดปน ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- ควรตรวจคัดกรองโรคไต : ในโรงพยาบาลเอกชนจะมีโปรแกรมคัดกรองโรคไต หรือการบริการด้านอาชีวเวชศาสตร์ของโรงพยาบาลของรัฐ สามารถรับบริการคัดกรองความเสี่ยงของโรคไต เพื่อตรวจการทำงานของไต ตรวจโปรตีนในปัสสาวะ หรือตรวจความผิดปกติของปัสสาวะและเลือด จะช่วยป้องกันความเสี่ยงของโรคกรวยไตอักเสบได้
สรุป
ได้ว่ากรวยไตอักเสบเป็นโรคที่ใกล้ตัว จะพบในกลุ่มผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย แต่ในเพศชายควรระมัดระวังเช่นกัน เนื่องจากกรวยไตอักเสบยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่อมลูกหมากอักเสบ (Prostatitis) ในเพศชายร่วมด้วย ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางเดินปัสสาวะที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ในการป้องกันโรค ควรมีการตรวจคัดกรองในทางปฏิบัติการตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ เมื่อได้รับคำวินิจฉัยจากแพทย์ ควรเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเข้าสู่สภาวะปกติ และแพทย์จะติดตามผลในการประเมินการรักษา นอกจากนี้การรักษาสุขอนามัยพื้นฐานเป็นสิ่งที่สำคัญ จะช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ระบบทางเดินปัสสาวะ รวมถึงการป้องกันเชื้ออื่นๆ ร่วมด้วย และไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน หากรู้สึกปวดควรปัสสาวะทันที เพื่อให้ร่างกายกำจัดของเสียได้มีประสิทธิภาพอีกด้วย