โรคโลหิตจาง (Anemia) คืออะไร อาการ สาเหตุ ควรกินอะไร รักษาอย่างไรได้บ้าง

โลหิตจาง หรือ โรคโลหิตจาง (Anemia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดแดงหรือปริมาณฮีโมโกลบินน้อยกว่าปกติ ซึ่งฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง มีทำหน้าที่ในการนำออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ทั่วร่างกาย และนำคาร์บอนไดออกไซด์จากอวัยวะหรือเนื้อเยื่อต่าง ๆ ไปส่งไว้ที่ปอด ในผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง จะมีระดับของฮีโมโกลบินต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้อวัยวะในร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดการสะสมคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลให้เกิดการอ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยง่าย และถ้ามีภาวะโลหิตจางรุนแรง จะส่งผลทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น จนอาจถึงขั้นหัวใจล้มเหลวได้

สาเหตุ โรคโลหิตจาง

สามารถแบ่งออกเป็น 3 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่

1. การเสียเลือดปริมาณมาก คือภาวะที่ร่างกายเสียเลือดมากกว่า 1 ใน 3 ของปริมาณเลือดทั้งหมดในร่างกาย ซึ่งมี 2 รูปแบบด้วยกันคือเสียเลือดแบบฉับพลัน และแบบเรื้อรัง

  • การเสียเลือดแบบฉับพลัน คือการเสียเลือดในปริมาณมาก เช่น จากการเกิดอุบัติเหตุ การผ่าตัด การตกเลือดในภาวะเลือดหลังคลอดบุตรหรือการแท้งบุตร
  • การเสียเลือดแบบเรื้อรัง คือเสียเลือดทีละน้อย ๆ แต่เป็นระยะเวลานาน เช่น จากการมีรอบเดือนของเพศหญิง ผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือนแต่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด มีเลือดออกในทางเดินอาหาร เช่น จากโรคกระเพาะอาหาร โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคริดสีดวงทวาร โรคหลอดเลือดโป่งพอง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โดยสามารถสังเกตได้จากอุจจาระมีสีดำหรือมีเลือดปนมากับอุจจาระ

2. ความผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

ภาวะขาดวิตามินหรือแร่ธาตุต่าง ๆ ที่จำเป็นในการนำไปสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น ขาดธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 หรือกรดโฟลิก ทั้งนี้ ภาวะโลหิตจางมักจะพบได้บ่อยในผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นประจำ ทำให้ให้มีโอกาสเสี่ยงขาดสารอาหารดังกล่าว เนื่องจากสารอาหารเหล่านี้พบมากใน เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ นม เป็นต้น

โรคเรื้อรัง เช่น โรคไตวายเรื้อรัง เนื่องจากไตเป็นแหล่งผลิตฮอร์โมนอีริโทรโพอิติน (erythropoietin) ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อผู้ป่วยโรคไตผลิตฮอร์โมนชนิดนี้ได้น้อยลง ส่งผลให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงลดลงตามไปด้วย ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับไขกระดูกจะพบภาวะโลหิตจางร่วมด้วย เนื่องจากไขกระดูกทำหน้าที่ในการสร้างเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ เข้าสู่กระแสเลือด เมื่อไขกระดูกทำหน้าที่บกพร่อง จะส่งผลให้มีปริมาณเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือดน้อยลง เช่น โรคไขกระดูกฝ่อ มะเร็งในไขกระดูก การติดเชื้อในไขกระดูก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังรวมถึงโรคเรื้อรังบางชนิด เช่น โรคมะเร็งของเม็ดเลือด โรคข้ออักเสบ โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน โรคตับ เป็นต้น

การได้รับพิษจากโลหะหนัก เช่น สารตะกั่ว เนื่องจากตะกั่วจะไปยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง

3. การทำลายเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงมีอายุขัยสั้นกว่าปกติ ซึ่งในคนปกติที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นโรค เม็ดเลือดแดงจะมีอายุขัยประมาณ 120 วัน แล้วจะถูกนำไปทำลายที่ตับ ม้าม และในภาวะที่เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ทำให้มีอายุขัยสั้นกว่าปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการตัวและตาเหลือง หรือเป็นดีซ่านร่วมด้วย โรคที่เป็นสาเหตุทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่าย ได้แก่ 

  • โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติในระดับยีน ซึ่งทำหน้าที่ในการควบคุมการสร้างฮีโมโกลบิน เมื่อยีนนี้มีความผิดปกติ ส่งผลให้ฮีโมโกลบินผิดปกติตามไปด้วย ทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้น เปราะ แตก และถูกทำลายง่าย อีกทั้งยังเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ด้วย 
  • โรคพร่องเอนไซม์ Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase (G6PD) เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากภาวะขาดเอนไซม์ G6PD ซึ่งเอนไซม์ทำหน้าที่ในการป้องกันเม็ดเลือดแดงจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระ ผู้ที่มีภาวะขาดเอนไซม์นี้ส่งผลให้เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกง่ายขึ้น เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ เช่น ภาวะการติดเชื้อ การได้รับยา หรืออาหารบางชนิด 
  • โรคเม็ดเลือดแดงแตกง่ายจากภูมิคุ้มกันของตนเอง (Autoimmune hemolytic anemia : AIHA) เป็นโรคที่ร่างกายสร้างแอนติบอดีมาจับที่ผิวของเม็ดเลือดแดง หลังจากนั้นเม็ดเลือดแดงที่มีแอนติบอดี้เกาะอยู่จะถูกนำไปทำลายที่ม้าม โรคนี้พบมากในเพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ อาจพบร่วมกับโรคของระบบภูมิคุ้มกันอื่น ๆ

การติดเชื้อบางชนิด  เช่น มาลาเรีย คลอสติเดียม มัยโคพลาสมา เป็นต้น

โรคโลหิตจาง อาการ

เนื่องจากโรคโลหิตจาง เป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณเม็ดเลือดแดงน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายเกิดความผิดปกติ ซึ่งมีอาการต่าง ๆ ได้แก่ หอบ เหนื่อยง่าย หากต้องออกแรงเป็นระยะเวลานาน อาจมีอาการใจสั่นร่วมด้วย มีอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ หน้ามืดได้ง่าย เกิดภาวะสมองล้า ขาดสมาธิในการทำงาน หลงลืมง่าย หากในเด็กวัยเรียน จะปัญหาทางด้านการเรียนแย่ลง ผลการเรียนตกต่ำ นอกจากนี้ ยังมีอาการปวดขา เนื่องจากขาดเลือด ผู้ป่วยจะเดินได้ไม่ไกล มีอาการท้องอืด เบื่ออาหาร หากผู้ป่วยมีภาวะโลหิตจางขั้นรุนแรง จะส่งผลให้หัวใจขาดเลือด ทำให้หัวใจทำงานมากขึ้น จนอาจถึงขั้นหัวใจล้มเหลวได้

โดยทั่วไปผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง จะมีผิวหนังซีดลง หรือเหลืองขึ้น หากเคยตรวจเลือดแล้วพบว่ามีปริมาณฮีโมโกลบินน้อยกว่าค่าปกติ คือ เพศชายน้อยกว่า 13 กรัม/เดซิลิตร และเพศหญิงน้อยกว่า 12 กรัม/เดซิลิตร ควรไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้ซักถามประวัติอย่างละเอียด และส่งเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการที่เหมาะสมต่อไป 

วิธีรักษาภาวะโลหิตจาง 

โรคโลหิตจางเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และเพื่อให้สามารถรักษาโรคได้นั้นแพทย์จึงจำเป็นต้องค้นหาสาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจางและทำการรักษาที่สาเหตุนั้น ซึ่งการรักษาจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือการรักษาทั่วไป และการรักษาแบบจำเพาะ 

การรักษาแบบทั่วไป ในกรณีผู้ป่วยโลหิตจางมีอาการรุนแรงมาก เช่น เจ็บหน้าอก ใจสั่น หายใจลำบาก ไม่มีแรง ตัวซีด ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อรักษาตัวในโรงพยาบาล นอนพัก ไม่ให้ออกแรงใด ๆ และให้ออกซิเจน รวมทั้งอาจจะต้องให้เลือดทดแทนด้วย เนื่องจากผู้ป่วยที่มีอาการขั้นรุนแรงนี้ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ช็อก และเสียชีวิตได้

ส่วนการรักษาแบบจำเพาะ จะเป็นการรักษาที่สาเหตุของการเกิดภาวะโลหิตจาง เช่น

  • ขาดธาตุเหล็ก ควรรับประทานอาหารกลุ่มที่มีเหล็กสูง เช่น ผักสีเขียวเข้ม ตับ เครื่องในสัตว์ สัตว์น้ำที่มีเปลือก เช่น กุ้ง ปู ผลไม้แห้งหรือเมล็ดธัญพืช เช่น ถั่ว อัลมอนด์ เป็นต้น เพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดี นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ  หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากยับยั้งการดูดซึมของธาตุเหล็ก 
  • ขาดวิตามินบี 12 หรือร่างกายขาดอินทรินซิกแฟกเตอร์ (Intrinsic Factor) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างจากกระเพาะอาหาร ทำหน้าที่ดูดซึมวิตามินบี 12 ดังนั้นในการรักษาผู้ป่วยโรคโลหิตจางที่มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินบี 12 แพทย์แนะนำให้ฉีดวิตามินบี 12 เข้าสู่ร่างกาย รับประทานอาหารเสริม หรือรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 12 สูง เช่น ตับ ไข่ ปลา เนื้อสัตว์ ชีสต์ และผลิตภัณฑ์จากนม เป็นต้น
  • รับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง เช่น ตับ บรอกโคลี หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ไข่ ธัญพืชไม่ขัดสี และผักใบเขียวเข้ม เป็นต้น ทั้งนี้การปรุงอาหารด้วยความร้อนสูงอาจทำให้ปริมาณโฟลิกในอาหารลดลงได้ และผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ร่างกายดูดซึมกรดโฟลิกได้น้อยลง
  • รับประทานยาหรือฮอร์โมน โดยผู้ป่วยบางรายแพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่มีภาวะโลหิตจางรับประทานยาหรือฮอร์โมน เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างเม็ดเลือดแดงได้มากขึ้น โดยยาหรือฮอร์โมนนั้นจะสอดคล้องกับสาเหตุการเกิดภาวะโลหิตจาง ได้แก่
  1. การให้ฮอร์โมนบางประเภท เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในผู้ที่ประจำเดือนมามากผิดปกติ
  2. การฉีดฮอร์โมนอิริโธรโพอิตินในผู้ป่วยโรคไต เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไขกระดูก ทำให้ร่างกายมีปริมาณเลือดอย่างเพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะเกิดโรคโลหิตจาง
  3. การรักษาด้วยวิธีคีเลชั่นบำบัด (Chelation Therapy) เป็นการกำจัดสารโลหะหนักที่ตกค้างในหลอดเลือดออกจากร่างกาย โดยใช้น้ำเกลือ ซึ่งจะผสมด้วยยาหรือสารเคมีที่ทำหน้าที่จับกับสารโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู และขับออกทางปัสสาวะ เหมาะกับผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง เนื่องจากได้รับสารตะกั่วเข้าสู่ร่างกาย
  4. เปลี่ยนถ่ายเลือด ในกรณีเป็นโรคเม็ดเลือดแดงแตก หรือมีภาวะโลหิตจางรุนแรง เมื่อมีระดับของฮีโมโกลบินต่ำกว่า 8 กรัมต่อเดซิลิตร ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้จำเป็นต้องให้เลือดอย่างต่อเนื่อง
  5. ปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดและไขกระดูก เป็นการรักษาภาวะโลหิตจางที่มีสาเหตุมาจากโรคเกี่ยวกับไขกระดูก เช่น โรคไขกระดูกฝ่อ ไขกระดูกทำงานผิดปกติ และมะเร็งในไขกระดูก ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูกระบวนการสร้างเม็ดเลือดในร่างกาย ให้มีปริมาณมากขึ้น
  6. ผ่าตัด โดยตัดม้ามออก เนื่องจากมีการทำลายเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการซีดอย่างรุนแรง และม้ามโต โดยปกติม้ามจะทำหน้าที่ทำลายเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุหรือเม็ดเลือดที่ผิดปกติ

การป้องกันภาวะโลหิตจาง

  1. ควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC)
  2. ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็ก และวิตามินบี 12 สูง เช่น ไข่ ตับ เนื้อสัตว์ เมล็ดธัญพืช และผักใบเขียว 
  3. ไม่ควรรับประทานกลุ่ม Non-steroidal anti-inflammatory หรือ NSAIDs เช่น ยาแก้ปวด ยาลดไข้ ยาแก้อับเสบ เนื่องจากยากลุ่มนี้จะทำให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดแผลและมีเลือดออกในกระเพาะอาหารได้ 
  4. กรณีที่พบว่ามีการขับถ่ายอุจจาระผิดปกติ ถ่ายดำหรือมีเลือดปน มีเลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มีเลือดออกเป็นจ้ำ ๆ ตามตัว หรือในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว แต่ยังพบว่ามีเลือดออกทางช่องคลอด ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และควรรักษาในทันที
  5. ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อวัน

เนื่องจากการรักษาโรคโลหิตจางเป็นการรักษาที่สาเหตุ แพทย์จึงต้องมีการซักประวัติและพิจารณาจากผลตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างละเอียด โดยในบางครั้งภาวะโลหิตจางอาจทำให้เราตรวจพบโรคร้ายแรงที่แฝงอยู่ ซึ่งอาจไม่แสดงอาการ และยังไม่รุนแรงมากนัก เมื่อตรวจพบตั้งแต่เนิ่น ๆ จะเป็นประโยชน์ต่อการรักษา และจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top