โรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) คืออะไร สาเหตุ อาการ เป็นอย่างไร รักษาหายไหม เช็คด่วน

โรคไวรัสตับอักเสบบี (HBV) คือ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดบี โดยส่วนมากผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จะไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่มีอาการป่วยใด ๆ ปรากฏ การดำเนินของโรคจึงเป็นไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งผู้ป่วยชนิดเรื้อรังนี้ จะมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และส่งผลให้เกิดมะเร็งตับในที่สุด ซึ่งในกลุ่มผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็นมะเร็งตับได้มากกว่าคนที่ไม่ได้เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบ ถึง 223 เท่า

HBV เป็น hepatotropic virus เป็นชนิดเดียวที่เป็น DNA virus โดยในจีโนมของไวรัส จะประกอบไปด้วย 4 ส่วนประกอบของยีน ดังนี้

ยีนของไวรัสตับอักเสบบีทำหน้าที่
S geneผลิต HBsAg หรือเปลือกหุ้ม
C geneผลิต HBcAg ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในการประกอบเป็นตัวไวรัส, HBeAg
P geneผลิต DNA polymerase
X geneผลิต HBxAg

การติดต่อของโรคไวรัสตับอักเสบบี

เชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะอยู่ในเลือดและสารคัดหลั่งของร่างกายผู้ติดเชื้อ เช่น อสุจิ น้ำเหลือง เป็นต้น สามารถติดต่อได้ดังนี้

  1. การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
  2. ติดต่อจากการสัมผัสกับเลือด หรือสารคัดหลั่งของผู้ที่ติดเชื้อ จากการใช้อุปกรณ์ หรือสิ่งของ เครื่องใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น แปรงสีฟัน มีดโกนหนวด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันโดยเฉพาะกลุ่มผู้ติดยาเสพติด การสักตามร่างกาย การเจาะหู เป็นต้น รวมถึง การให้เลือด การฝังเข็ม การทำฟัน บาดแผล ก็มีโอกาสติดเชื้อได้เช่นกัน
  3. ติดต่อจากแม่สู่ลูก ขณะคลอดและหลังคลอด ในกรณีที่แม่ติดเชื้อไวรัส

อาการ โรคไวรัสตับอักเสบบี

เมื่อได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ไวรัสจะมุ่งเข้าไปสู่เซลล์ตับของคน จากนั้นก็จะเจริญเติบโต และเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยระยะฟักตัว จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-3 เดือน อาการของโรคไวรัสตับอักเสบจะแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง

การติดเชื้อแบบเฉียบพลัน แบ่งได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้ ระยะก่อนเหลือง ระยะเหลือง และระยะฟื้น

  • ระยะก่อนเหลือง (Pre-Icteric หรือ Prodromal) ระยะนี้จะเริ่มหลังจากระยะฟักตัวของโรค 6-26 สัปดาห์ ด้วยอาการวิงเวียน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และเจ็บที่ชายโครงด้านขวา บางรายมีไข้ต่ำ ๆ มีผื่นขึ้นลักษณะแบบผื่นลมพิษ (Urticarial rash) มีปวดตามข้อต่าง ๆ (Polyarthritis) หลังจากนั้น 2 วัน – 2 สัปดาห์ ก็จะเข้าสู่ระยะเหลือง
  • ระยะเหลือง จะพบว่าปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระสีซีด ตาและตัวเหลือง และอาจใช้ระยะเวลาหลายสัปดาห์ก่อนเข้าสู่ระยะฟื้น (Convalescent)
  • ระยะฟื้น ในระยะนี้การเปลี่ยนแปลงของร่างกายหลังติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี พบว่ามีภาวะตับอักเสบชนิดร้ายแรง (Fulminant hepatitis) ร้อยละ 1 โดยในผู้ป่วยส่วนใหญ่เซลล์ตับที่เสียไปจะสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ ด้วยการแทนที่เซลล์เก่าเหล่านั้นด้วยเซลล์ใหม่ ภายใน 2-3 เดือน ประมาณร้อยละ 10 จะกลายเป็นผู้ติดเชื้อเรื้อรัง หรือเป็นพาหะ ซึ่งผู้ป่วยเรื้อรังจะไม่มีอาการปรากฏ แต่จะมีอาการตับอักเสบ

การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีอาการ และจะทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้ก็ต่อเมื่อไปตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจสุขภาพก่อนเข้าทำงาน การบริจาคเลือด หรือต้องการตรวจหาการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้โดยเฉพาะ บางรายมีภาวะตับอักเสบเรื้อรังมาเป็นระยะเวลานานจนกลายเป็นตับแข็ง อาการของภาวะตับแข็ง เช่น บวม ตาเหลือง ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด

ส่วนทารกที่ได้รับเชื้อจากมารดา ในระหว่างคลอดหรือแรกเกิดมีโอกาสสูงที่จะเป็นพาหะ ในกรณีที่มารดาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่อัตราการเป็นพาหะจะลดลงเรื่อย ๆ เมื่อมีอายุมากขึ้น แต่ในบางรายได้รับยาเคมีบำบัด (Cytotoxic drugs) หรือติดเชื้อ HIV จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเรื้อรังสูงขึ้น 

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไวรัสตับอักเสบบี 

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีโรคประจำตัวหรือมีภาวะที่ทำให้การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องเช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง การฉายรังสี หรือการได้รับยากดภูมิคุ้มกัน หรือผู้ติดเชื้อ HIV ร่วมกับติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการแทรกซ้อนที่ร้ายแรง ได้แก่

  1. ตับแข็ง เป็นภาวะแทรกซ้อนของผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากถึง 25 % เนื่องจากจะเกิดพังพืดขึ้นที่ตับ ส่งผลให้การทำงานของตับเสื่อมสภาพลง
  2. ตับวายเฉียบพลัน เป็นภาวะที่ตับหยุดการทำงาน ส่งผลถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากไม่มีการปลูกถ่ายตับ เนื่องจากตับทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น ผลิตน้ำดี ผลิตฮอร์โมน ควบคุมเมแทบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน รวมทั้งกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อตับไม่สามารถทำหน้าที่เหล่านี้ได้ จะส่งผลให้อวัยวะอื่น ๆ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
  3. มะเร็งตับ ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็งมีโอกาสพัฒนาไปเป็นมะเร็งตับ สามารถสังเกตอาการของผู้ป่วยได้จากการที่น้ำหนักลด ตาเหลืองผิวเหลือง และเบื่ออาหาร
  4. ภาวะที่เกี่ยวกับเลือด เช่น ภาวะโลหิตจาง และการติดเชื้อในกระแสเลือด เนื่องจากตับมีหน้าที่ในการสร้างภูมิคุ้มกัน และกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ออกจากเลือด ดังนั้น เมื่อตับทำหน้าที่บกพร่อง จะส่งผลให้ภูมิต้านทานต่ำ จึงทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และในกรณีผู้ป่วยที่มีการอักเสบเป็นระยะเวลานาน หรือเรื้อรัง จะส่งผลให้การสร้างเม็ดเลือดแดงลดลง และอายุเม็ดเลือดแดงสั้นลง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง 

การรักษาผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง

ปัจจุบันยาที่ใช้ในการรักษามี 2 กลุ่ม

  1. การให้ยาต้านไวรัสชนิดรับประทาน ทำหน้าที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส จะมีผลข้างเคียงของยาน้อยกว่ายาต้านไวรัสแบบฉีด แต่ต้องใช้เวลาในการรักษานาน อาจมากกว่า 3-5 ปี ซึ่งเวลาในการรักษาไม่แน่นอน ยากลุ่มนี้ได้แก่ Lamivudine, adefovir,  entecavir, telbivudine และ Tenofovir เป็นต้น ผลข้างเคียงของกลุ่มนี้ เช่น ภาวะไตพร่องการทำงาน อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือพบค่า Creatine kinase (CPK) สูง และเมื่อผู้ป่วยได้รับยาในระยะยาว จะมีความเสี่ยงต่อการดื้อยาอีกด้วย 
  2. การให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีด ได้แก่ Pegylated Interferon (Peg-IFN) ทำหน้าที่ออกฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยและยังมีฤทธิ์ยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยจะมีระยะเวลาการรักษาที่แน่นอน ประมาณ 48 สัปดาห์ และหลังหยุดฉีดยาภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยที่ถูกกระตุ้นไว้คงออกฤทธิ์ต่อสู้กับไวรัสต่อได้นานถึง 6 เดือน จึงไม่มีปัญหาเรื่อง HBV resistance การรักษาวิธีนี้จะมีประสิทธิภาพกับผู้ที่มีอายุน้อย มีการอักเสบของตับในระดับปานกลาง (ระดับ ALT สูง 2-10 เท่า) และระดับไวรัสในเลือดไม่สูงมาก (1-10 ล้านcopies/ml.) ผล HBeAg เป็นบวก ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น อาการไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคล้ายไข้หวัดใหญ่ (flu-like symptoms) อ่อนเพลีย ซึมเศร้า แต่การรักษาวิธีนี้ ไม่สามารถใช้ได้ในผู้ป่วย โรคตับแข็งระยะสุดท้าย(decompensated cirrhosis)

การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่

  1. งดแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด และงดสูบบุหรี่
  2. ลดการรับประทานอาหารไขมันสูง เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดไขมันพอกตับ และตับอักเสบได้
  3. ลดอาหารที่ไหม้เกรียม รมควัน อาหารที่มีถั่ว ธัญพืชซึ่งเป็นแหล่งของเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ของหมักดอง ดินประสิว เนื่องจากอาหารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง
  4. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เนื่องจากภาวะอ้วน จะส่งผลให้เกิดไขมันพอกตับได้
  5. รับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่
  6. พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าหักโหม ลดความเครียด และทำจิตใจให้ผ่องใส

วิธีการป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

  1. หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือการให้เลือดหรือส่วนประกอบต่าง ๆ ของเลือด โดยไม่จำเป็น
  2. ไม่ใช้ของมีคม หรือเข็มฉีดยาร่วมกัน หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น แปรงสีฟัน มีดโกน เป็นต้น
  3. ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ในกรณีที่ไม่ใช่คู่สมรส และหากคู่สมรสที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นพาหะ อีกฝ่ายควรได้รับวัคซีนป้องกัน 
  4. ควรใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น 
  5. การให้วัคซีนป้องกัน ซึ่งปกติจะฉีดวัคซีนชนิดนี้ให้แก่เด็กแรกเกิดทุกคน โดยให้เข็มที่ 1 ต้องฉีดภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด เข็มที่ 2 เมื่ออายุ 2 เดือน และเข็มที่ 3 เมื่ออายุ 6 เดือน เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่จะผ่านมาจากมารดาและการติดเชื้อในระยะต่อไป สำหรับผู้ใหญ่ที่ยังไม่ได้ฉีดหรือมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ควรจะได้รับวัคซีนชนิดนี้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น กลุ่มแพทย์ พยาบาล กลุ่มผู้ป่วยโรคไตที่ต้องฟอกเลือด ผู้ที่ต้องได้รับการถ่ายเลือดบ่อย หรือผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมและสัมผัสกับผู้ติดเชื้อไวรสัตับอักเสบบี เป็นต้น

โรคไวรัสตับอักเสบบี หากเป็นการติดเชื้อแบบเฉียบพลัน จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ภายใน 1-3 สัปดาห์ ซึ่งจะมีค่า HBeAg เป็นลบ และค่าเอนไซม์ตับ ALT ปกติ แต่ยังสามารถพบเชื้อในร่างกายได้อยู่ อีกทั้ง เชื้อยังสามารถติดต่อสู่ผู้อื่นได้ หรือเรียกว่า พาหะ (Carrier) ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นพาหะจะต้องดูแลร่างกายและพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top