หายใจไม่อิ่ม จุกที่คอ แน่นอก มีโอกาสเกิดจากโรค COVID-19 ซึ่งเป็นโรคที่มีการอุบัติของโรคทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จะเห็นได้ว่าร่างกายเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อจับกับเซลล์โปรตีนของอวัยวะในช่วงติดเชื้อ และยังคงหลงเหลือร่องรอยของการอักเสบตามอวัยวะนี้อยู่ จึงส่งผลกระทบต่อร่างกาย บางรายอาจเกิดการติดเชื้อซ้ำและทิ้งช่วงเวลาในการติดเชื้อยาวกว่าในรอบแรก บางรายอาจกระทบต่อระบบหายใจที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หนึ่งในนั้นมีอาการ “หายใจไม่อิ่ม” ซึ่งเป็นอาการที่แสดงความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ บ่งบอกถึงสัญญาณเตือนของโรค Long COVID-19 และความผิดปกติของอวัยวะในร่างกาย เช่น โรคปอด โรคหลอดเลือด โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงระบบทางเดินหายใจผิดปกติ
หายใจไม่อิ่ม เกิดจากอะไร
อาการหายใจไม่อิ่ม (Dyspnea) เป็นลักษณะความผิดปกติของการหายใจเข้า และหายใจออก ที่ไม่สามารถรับออกซิเจน (Oxygen) เข้าไปได้อย่างเต็มที่ ทำให้ช่วงของการหายใจสั้นลง โดยมีหลายสาเหตุของการเกิดอาการเหล่านี้ ที่เป็นตัวบ่งบอกปัญหาสุขภาพตามมา นอกจากนี้อาการหายใจไม่อิ่มยังส่งผลต่อสมรรถภาพของการรับออกซิเจนของร่างกายในช่วง VO2 max ในนักกีฬา และบุคคลทั่วไปได้ด้วยเช่นกัน
ลักษณะอาการหายใจไม่อิ่มแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ อาการหายใจไม่อิ่มแบบเฉียบพลัน และอาการหายใจไม่อิ่มแบบเรื้อรัง โดยมีความแตกต่างของลักษณะได้ดังนี้
- อาการหายใจไม่อิ่มแบบเฉียบพลัน (Acute Dyspnea) เป็นอาการผิดปกติแบบกะทันหัน โดยคาบเวลาของการแสดงอาการเกิดขึ้นหลายนาที หรือหลายชั่วโมง ซึ่งมีสาเหตุของความผิดปกติ
- การออกกำลังกายในช่วง Overload การใช้แรงงาน หรือยกของหนักๆ
- สภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูง หรือต่ำเกินไป และอาศัยอยู่ในที่มีความกดอากาศต่ำ
- ความวิตกกังวล หรือเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจ
- อาการหวัด มีน้ำมูก
- ปัจจัยภายในอื่นๆ เช่น ผลไม้หรือเศษอาหารติดอยู่ในคอหรือหลอดลม โรคภูมิแพ้ ภาวะปอดแตกหรือมีอากาศรั่วออกจากโพรงเยื่อหุ้มปอด กรดไหลย้อน ลิ่มเลือดอุดตันในปอด รวมถึงโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
- อาการหายใจไม่อิ่มแบบเรื้อรัง (Chronic Dyspnea) เป็นอาการผิดปกติที่คล้ายๆ กับแบบเฉียบพลัน แต่มีคาบเวลาของการแสดงอาการที่ยาวนานขึ้น จะเกิดขึ้นหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน บางรายอาจเกิดจากโรคประจำตัว เช่น โรคเยื่อหุ้มมปอดอักเสบ (Pleuritis) กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม (Cardiomyopathy) หรือโรคอ้วน (Obesity) ในลักษณะนี้มีการทวีความรุนแรงของโรคมากกว่าแบบแรก โดยมีสาเหตุได้ดังนี้
- การตั้งครรภ์ในไตรมาสที่ 3 ทำให้เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ และไหลเวียนเลือด ซึ่งเป็นอาการปกติของผู้ที่ตั้งครรภ์ในช่วงนี้
- ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ออกกำลังกาย ทำให้มีอาการเหนื่อยหอบง่าย
- ผู้ที่มีอาการกรนบ่อย หรือมีอาการหยุดหายใจขณะหลับในผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS)
- ความดันของหลอดเลือดในปอดสูง ทำให้ลำเลียงออกซิเจนน้อยกว่าปกติ
- ผู้ที่มีปัญหาลองโควิด (Long COVID-19)
- ผู้ที่สูบบุหรี่ ทั้งบุหรี่มวนแบบยาสูบ และบุหรี่ไฟฟ้า
ระดับความรุนแรงของอาการเหนื่อย
การยกระดับความรุนแรงของอาการเหนื่อย สามารถประเมินอาการหายใจไม่อิ่ม เพื่อดูว่าผู้ป่วยมีความเหนื่อยมากเพียงใด ซึ่งดูได้จากความสามารถในการออกกำลังกาย เพื่อประเมินสมรรถภาพและความรุนแรงของอาการหายใจไม่อิ่ม โดยจะใช้เครื่องมือที่มีชื่อว่า Word Scale หรือประเมินจาก Talk Test ซึ่งเป็นเครื่องมือเดียวกับที่ใช้ในการประเมินผู้ป่วยโรคหอบหืด เพื่อใช้ในการประเมินอาการหายใจไม่อิ่ม เครื่องมือนี้สามารถแบ่งระดับความรุนแรงตั้งแต่ Grade 0-4
- Grade 0 : ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ปลอดภัย ไม่แสดงอาการเหนื่อยหอบ หรือแสดงความผิดปกติของปอดเลย ทั้งในการดำเนินชีวิตประจำวันและขณะพัก ซึ่งจะไม่นับในช่วงออกกำลังกายอย่างหนักเลย
- Grade 1 : มีอาการเหนื่อยเมื่อขึ้นอยู่บนที่สูง หรืออาศัยในพื้นที่มีความกดอากาศต่ำ เช่น การขึ้นเขา แต่ในระดับปกติจะไม่แสดงอาการรุนแรง
- Grade 2 : รู้สึกเชื่องช้าในการเดินทางราบ เมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน เช่น ช่วงอายุ 25-30 ปี จะมีการพักเป็นช่วงๆ เพื่อลดอาการเหนื่อยหอบ และปรับการหายใจให้รับออกซิเจนมากขึ้น
- Grade 3 : เริ่มมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจไม่ทั่วท้อง เมื่อใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 นาที หรือใช้ระยะทางประมาณ 100 หลา ให้สังเกตอาการผิดปกติในช่วงนี้ทันที
- Grade 4 : ในช่วงนี้จะมีความรุนแรงมากที่สุด และสามารถประเมินการเต้นของหัวใจในขณะพัก หรือฟื้นฟูผู้ป่วยในระบบทางเดินหายใจ จะมีอยู่ 4 Class ย่อยๆ ได้แก่
- Class I : มีอาการหายใจไม่อิ่ม แต่ถ้าได้พัก สามารถทำกิจกรรมทางกายได้ปกติ
- Class II : อาการในช่วงนี้จะดีขึ้นในขณะพัก แต่ออกกำลังกาย หรือใช้ชีวิตประจำวัน จะมีอาการเหนื่อยหอบอยู่บ้าง แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นกระทบต่อทรวงอก
- Class III : ในช่วงนี้จะเสี่ยงต่ออาการเจ็บหน้าอกร่วมด้วย ควรจำกัดกิจกรรมบางอย่างออกไป เช่น การปีนเขา การวิ่งระยะสั้น การเดินเร็วสลับวิ่ง เพื่อลดการทำงานหนักของระบบทางเดินหายใจ แต่ขณะพักยังทำงานได้ตามปกติ
- Class IV : ในช่วงนี้ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ ทั้งในการใช้ชีวิตประจำวัน และขณะพัก จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ ซึ่งเสี่ยงต่อภาวะหายใจล้มเหลวได้
การวินิจฉัยอาการหายใจไม่อิ่ม
ลักษณะอาการทั้งสองแบบ สามารถทวีความรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้ โดยผู้ป่วยจะต้องสังเกตอาการผิดปกติ และควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์โดยเริ่มจากการซักประวัติ และวินิจฉัยผ่านสเต็ตโทสโคป (Stethoscope) เพื่อดูความผิดปกติของปอด ตรวจหาอาการต่างๆ ตามร่างกาย และความถี่ของอาการที่เกิดขึ้น ว่าเกิดขึ้นนานเท่าใด
- ความผิดปกติขณะหายใจ ทั้งตอนทำกิจกรรม และขณะพัก จะมีเสียงหวีดอยู่ในระบบทางเดินหายใจ และรู้สึกเหนื่อยหอบง่าย
- มีไข้สูง 37.5 องศา มีอาการไอ เจ็บคอ หายใจสั้นลง และมีอาการหนาวสั่น
- ขณะนอนราบ มีอาการหายใจลำบาก มีอาการกรนเสียงดัง หรือรู้สึกไม่สบายตัวในยามวิกาล
- มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการบวมหรืออาการแพ้ตามมือ เท้า และอวัยวะส่วนอื่นๆ
นอกจากการวินิจฉัยอาการผิดปกตินั้น ตัวผู้ป่วยควรตรวจสอบตัวเอง และทำการบันทึกข้อมูล เพื่อเป็นการตอบคำถามและสังเกตความผิดปกติ โดยผู้ป่วยสามารถระบุความผิดปกติเพื่อง่ายต่อการวินิจฉัยได้ดังนี้
- อาการหายใจไม่อิ่มเกิดขึ้นนานเท่าใด หรือบ่อยๆ เป็นระยะ
- คุณเคยทำกิจกรรมอื่นๆ ก่อนหน้านี้มาก่อนหรือไม่ หรือเกิดอาการผิดปกติขึ้นเอง
- อาการที่แสดงออกนั้น มีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน
- มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วยหรือไม่
- มีประวัติของบุคคลในครอบครัวที่มีอาการหายใจไม่อิ่มด้วยหรือไม่
บางรายแพทย์จำเป็นต้องขอตรวจอาการเพิ่มเติม เช่น การใช้จิตบำบัดในกลุ่มที่มีภาวะวิตกกังวล เอกซเรย์ทรวงอกเพื่อดูความผิดปกติของปอด การเจาะเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และการตรวจสมรรถภาพของปอดด้วยสไปโรมิเตอร์ (Spirometer) เพื่อประกอบการวินิจฉัย และประเมินผลการรักษาของผู้ป่วยหายใจไม่อิ่ม
อาการแทรกซ้อนของอาการหายใจไม่อิ่ม
อาการหายใจไม่อิ่มจะมีความผิดปกติของอาการแทรกซ้อน มักจะแสดงอาการชัดเจนในเวลากลางคืน แต่จะค่อยๆ ทวีความรุนแรงสู่โรคภัยอื่นๆ หรือโรคปอดรุนแรงได้ เช่น
- หน้ามืด เป็นลม วิงเวียนศีรษะ
- มีอาการหอบ เหนื่อยง่าย
- คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการภูมิแพ้
- ไม่สามารถนอนราบได้ ผู้ที่มีปัญหาหายใจไม่อิ่มจะนอนคว่ำ และนอนตะแคงข้าง
- มีอาการไอ ซึ่งจะมีอาการไอแห้งๆ โดยอาการไอเป็นสัญญาณของโรคปอด เช่น วัณโรค เมลิออยโดสิสหรือวัณโรคเวียดนาม เยื่อหุ้มปอดอักเสบ มะเร็งปอด รวมถึงลองโควิด (Long COVID-19)
- เจ็บหน้าอก มีอาการจุกบริเวณลิ้นปี่ โดยจะมีอาการแปลบๆ ทั้งการทำกิจกรรมและการนอนหลับ
- หายใจทางปากแทนการหายใจทางจมูก
หายใจไม่เต็มปอด วิธีแก้
ในส่วนของการรักษาอาการของภาวะหายใจไม่อิ่ม ควรมีการสังเกตที่มาของอาการผิดปกติที่มาจากสาเหตุร้ายแรงอื่นๆ หรือไม่ เช่น มีประวัติบุคคลในครอบครัวทำงานที่เกี่ยวข้องกับสารอันตราย เช่น แร่ใยหิน ฝุ่นเหล็ก หรือทำงานกลุ่มซีเมนต์ รวมถึงใกล้ชิดผู้ป่วยที่เป็นโรควัณโรค โรคปอดบวม หรือโรคมะเร็งปอด หากไม่ได้เกิดจากสาเหตุร้ายแรง ผู้ป่วยสามารถกลับมาดูแลตนเองได้ที่บ้าน และติดตามการรักษาจนกลับสู่สภาวะปกติ หากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะต้องมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เช่น
- ให้ออกซิเจนแก่ผู้ป่วย สำหรับผู้มีปัญหาการหายใจผิดปกติ หรือมีอาการแทรกซ้อน
- แพทย์ให้ยาขยายหลอดลม สำหรับผู้ป่วยโรคหอบหืด และหายใจไม่อิ่ม
- ในกลุ่มผู้ป่วยจะมีอาการอักเสบของอวัยวะอื่นๆ รวมถึงกลุ่มหายใจไม่อิ่มที่มีอาการรุนแรง แพทย์จะให้ยาระงับอาการปวด เช่น มอร์ฟีน
- กลุ่มที่ต้องรักษาเพื่อบรรเทาจิตใจ แพทย์จะให้ยาคลายกังวล (Antianxiety) ช่วยให้ระบบสมองส่วนควบคุมความเครียดทำงานดีขึ้น
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการหายใจไม่อิ่ม
อาการหายใจไม่อิ่มสามารถรักษาหายขาดได้ ซึ่งควรหาสาเหตุของความผิดปกติ เพื่อการติดตามการรักษาที่มีประสิทธิภาพ โดยมีวิธีการดูแลสุขภาพและปรับสิ่งแวดล้อม เช่น
- อยู่ในห้องที่มีอุณหภูมิที่เย็น อุณหภูมิที่ดีที่สุดอยู่ที่ 22-25 องศาเซลเซียส การปรับเครื่องปรับอากาศให้อยู่ในระดับอุณหภูมิข้างต้น จะช่วยให้ระบบหายใจโล่งขึ้น หากไม่มีเครื่องปรับอากาศ สามารถนั่งหน้าพัดลมทดแทน ให้มีอุณหภูมิเย็นเพียงพอที่จะช่วยปรับระบบหายใจได้สะดวกขึ้น
- หากรักษาอาการหายใจไม่อิ่ม หรืออาการผิดปกติร่วมด้วยยารักษาตามอาการ ให้ทานยาตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- การปรับหมอน ให้เลือกหมอนที่ยกสูงขึ้น เพื่อให้ระดับศีรษะสูงจากแนวราบ ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น หรือปรับให้อยู่ในท่านั่งที่เหมาะสม
- อยู่ในพื้นที่โล่งๆ เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท เพื่อป้องกันมลภาวะทางอากาศออกไป บางรายสามารถนำต้นไม้ฟอกอากาศ เช่น เดหลี พลูด่าง ลิ้นมังกร จะช่วยเพิ่มอากาศสดชื่นขึ้น
- มองดูทิวทัศน์ที่เป็นธรรมชาติ สบายตา จะช่วยรับอากาศบริสุทธิ์มากขึ้น
- ในกลุ่มผู้ป่วยที่เคยมีประวัติติด COVID-19 มาก่อน ควรพบแพทย์ และสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง
สรุป
การป้องกันอาการหายใจไม่อิ่ม สามารถแก้ไขได้ด้วยการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่กระทบต่อปอดโดยตรง เช่น ไม่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ สวมหน้ากากอนามัย ไม่อยู่ในสถานที่แออัดหรือที่มีมลภาวะเสี่ยงต่อฝุ่น ควัน และสารเคมีอันตรายที่รบกวนต่อระบบทางเดินหายใจ ควรสวมเครื่องมือป้องกันและมีการตรวจร่างกายสม่ำเสมอ รวมถึงพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอหากมีประวัติการติด COVID-19 ก่อนหน้า ควรติดตามอาการผิดปกติเพื่อลดความเสี่ยงร่วมของอาการลองโควิดได้ อย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนัก จะเป็นการป้องกันความผิดปกติของโรค NCDs ซึ่งแสดงอาการหายใจไม่อิ่ม เช่น กลุ่มโรคอ้วนจะต้องควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายเพื่อรับออกซิเจน และปรับพฤติกรรมสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันอาการหายใจไม่อิ่มในระยะยาวได้