ค่า spf คือ ค่าที่นำมาวัดประสิทธิภาพของการป้องกันผิว ย่อมาจาก sun protection factor หรือก็คือ ค่าการป้องกันแสงแดด ที่เป็นการบ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสียูวีบี (UVB) ป้องกันการทำลายผิวจากรังสี UV ต่าง ๆ จากแสงแดด เพื่อไม่ให้เกิดอาการคัน แดง หรือผิวไหม้แดด สำหรับตัวเลขที่เป็นตัววัดค่าของ SPF ที่แสดงอยู่ด้านหลัง จะเป็นจำนวนเท่าของการปกป้องผิว เพื่อคุณสมบัติที่สามารถทำให้อยู่ท่ามกลางแสงแดดได้ โดยไม่เป็นอันตรายต่อผิว
ส่วนผสมที่มีค่าของ SPF สูงเท่าไหร่ ก็จะสามารถปกป้องรังสี ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อผิวได้ยาวนานมากขึ้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่จะตามมาที่อาจจะมีโอกาสเกิดความระคายเคืองผิวได้มากกว่า ซึ่งถ้าหากไม่ได้ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีรังสีที่สูง ก็สามารถใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่ไม่สูงมาก ก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ เช่น ถ้าหากมีความจำเป็นจะต้องอยู่ท่ามกลางแดดที่ร้อนจ้า 10 นาที แล้วผิวจะมีอาการไหม้แดง แต่ถ้าทาครีมกันแดด SPF 15 เราจะอยู่กลางแดดได้นานขึ้นเป็น 10×15=150 นาที ก่อนจะมีอาการดังกล่าว) สำหรับความจำเป็นที่จะเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่ในแต่ละวัน ก็ขึ้นกับพื้นฐานในการใช้ชีวิตประจำวันของแต่ละคน
ในการเลือก SPF ที่เหมาะสมกับปริมาณต่าง ๆ นั้น ก็ขึ้นอยู่การใช้งานในชีวิตประจำวัน โดยการหลีกเลี่ยงรังสี หรือแสงแดดนานขนาดไหน เช่น ถ้าทำงานหรือกิจกรรมที่สัมผัสกับแสงแดดควรเลือก SPF สูง ๆ หรือ ควรทาครีมกันแดดซ้ำอย่างน้อยทุก ๆ 2 ชั่วโมง เนื่องจากมลภาวะ เหงื่อ จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันแดดลดลง
SPF ป้องกันรังสีอะไร
“แสงแดด” มาพร้อมกับรังสีอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสาเหตุในการทำร้ายผิวโดยตรง จนมีอาการผิดปกติที่เกิดตามผิวหนังทางร่างกาย อาการเบื้องต้น คือ เกิดหน้าหมองคล้ำ รอยแดงต่าง ๆ ผิวเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ ฝ้า กระ จึงจำเป็นต้อง ต้องทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพื่อปกป้องไม่ให้ถูกทำร้ายผิวจากแสงแดด อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดมะเร็งผิวหนังอีกด้วย
คำถามที่ว่า “spf ป้องกันรังสีอะไร?” ค่า SPF ที่เป็นส่วนผสมที่มีการสกัดเข้ามาอยู่ภายในครีมกันแดด โดยที่คุณสมบัติของแต่ละชนิด ก็จะเหมาะแก่การใช้งานที่แตกต่างกันออกไป ถือเป็นตัวช่วยในการป้องกันผิวจากรังสีที่มีผลกระทบต่อผิวโดยตรงอย่าง ยูวีบี (UVB) ซึ่งก็คือรังสีชนิดหนึ่งที่เป็นตัวแปลของรังสีอัลตราไวโอเลต ที่ได้นำเอามาเป็นส่วนผสมของค่า SPF ที่ผ่านการทดลองออกมาจากแล็ปโดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเป็นตัวกำหนดภาวะผิวหนังแดงจากการถูกแสงแดดทำร้าย
SPF กับ PA ต่างกันอย่างไร
สิ่งที่จะได้เห็นคู่กันภายใต้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด โดยที่ SPF เขียนคู่กับค่า PA ที่ในความเป็นจริงแล้ว ค่าทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่ ดังนี้
ค่า spf
ค่า spf ย่อมาจาก sun protection factor ตัวชี้วัดถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีบี(UVB) โดยจะมีตัวเลขที่แสดงถึงจำนวนเท่าในการปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- Spf 10 – 15 คุณสมบัติในการใช้งาน เหมาะกับคนที่ทำงานในร่มตลอดทั้งวัน โดยที่จะมีการสัมผัสกับแสงแดดในปริมาณที่น้อย
- Spf > 15 คุณสมบัติในการใช้งาน เหมาะกับคนที่ต้องเดินทางระหว่างวันอยู่ตลอดเวลา หรือมีกิจกรรมกลางแดดระหว่างวันเป็นเวลานาน ๆ
- Spf > 30 คุณสมบัติในการใช้งาน เหมาะกับคนที่สัมผัสแดดกลางแจ้งโดยตรง หรือกลุ่มคนที่เป็นโรคแพ้แสงแดด หรือไวต่อแสงแดด
ค่า pa
ค่า pa ย่อมาจาก Protection grade of UVA ค่าดังกล่าว มักจะถูกติดอยู่บนผลิตภัณฑ์กันแดดที่สามารถเห็นได้ทั่วไป โดยที่ลักษณะของค่า pa ที่ติดอยู่บนบรรจุภัณฑ์ มักจะตามต่อท้ายค่า SPF เสมอ และไม่มีค่าตัวเลข ซึ่งค่า pa ก็คือ ค่าที่บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอ (UVA) มีลักษณะการเขียนเป็น pa ตามด้วยเครื่องหมายบวก(+) ที่แสดงถึงจำนวนเท่าในการปกป้องผิว
ค่า PA ทำไมต้องมีเครื่องหมายบวก +++ หลาย ๆ อัน?
- PA+ ความสามารถในการป้องกันผิว จากรังสี UVA ได้ 2 เท่า หรือก็คือ ระดับความสามารถในการปกป้องผิวที่เกิดจากความหมองคล้ำ ที่ได้ผลมากกว่าผิวปกติ 2-4 เท่า
- PA++ ความสามารถในการป้องกันผิว จากรังสี UVA ได้ 4 เท่า หรือก็คือ ระดับความสามารถในการปกป้องผิวที่เกิดจากความหมองคล้ำ ที่ได้ผลมากกว่าผิวปกติ 4-8 เท่า
- PA+++ ความสามารถในการป้องกันผิว จากรังสี UVA ได้ 8 เท่า หรือก็คือ ระดับความสามารถในการปกป้องผิวที่เกิดจากความหมองคล้ำ ที่ได้ผลมากกว่าผิวปกติ 8-16 เท่า
- PA++++ ความสามารถในการป้องกันผิว จากรังสี UVA ได้ 16 เท่า หรือก็คือ ระดับความสามารถในการปกป้องผิวที่เกิดจากความหมองคล้ำ ที่ได้ผลมากกว่าผิวปกติมากกว่า 16 เท่าขั้นไป
spf มีความสำคัญอย่างไร
หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า รังสีอัลตราไวโอเลตที่มากับแสงแดด เป็นส่วนสำคัญที่สามารถทำร้ายผิวของเราได้มากกว่าที่คิด โดยที่รังสีอัลตราไวโอเลตจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ UVA UVB
- 1.UVA เป็นรังสีที่มีอำนาจในการทะลุผ่านกระจกต่าง ๆ ได้ สามารถทำให้ผิวเหี่ยวย่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ้าแดง ฝ้าแดด ฝ้ากระ ก็เกิดขึ้นจากรังสีนี้ได้ อีกทั้งยังทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้นด้วย
- 2.UVB จะเป็นรังสีที่ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกเข้ามาได้ แต่จะเป็นรังสีที่มีผลต่อการทำร้ายผิวให้อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ โดยจะมีอาการ แสบร้อน ผิวไหม้ รวมไปถึงใบหน้าที่ดูหมองคล้ำกว่าปกติ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นการทาครีมกันแดดที่มีค่า spf ที่เหมาะสมต่อกิจวัตรประจำวัน จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะถ้าปล่อยละเลยจนผิวหนังถูกทำร้ายจนเป็นสาเหตุให้ ผิวไม่แข็งแรง มีอาการผิวที่บอบบางกว่าปกติ หรือทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง จะเกิดเป็นภาวะให้ผิวมีความไวต่อแสง จึงแนะนำว่า การเลือกปกป้องผิวด้วยผลิตภัณฑ์ครีมทากันแดดที่มีค่า spf ที่เหมาะสมต่อกิจวัตรประจำวัน จึงเป็นวิธีการปกป้องผิวที่สามารถเริ่มต้นดูแลได้ง่าย ๆ ใช้เวลาไม่นาน และดีกว่าการพยายามฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายไปแล้ว ให้กลับมาสู่ภาวะปกติ
ค่า SPF แต่ละระดับบอกอะไร?
SPF 15
การป้องกันแสงแดดจะดูดซับรังสี UV ประมาณ 93 % แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดใด จะสามารถป้องกันรังสีอันเป็นอันตรายได้ 100% ค่า SPF 15 จะปล่อยให้ผิวของคุณถูกทำร้ายได้เพียงแค่ 7 % ค่า SPF 15 จึงเหมาะที่จะนำเอามาใช้งานโดยตรงภายในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสออกไปสัมผัสแดดข้างนอกบ่อย ๆ หรือน้อยกว่า 20 นาทีต่อครั้งกันแดดใน SPF ระดับนี้เหมาะที่สุด
SPF 30
ค่า SPF 30 เป็นตัวที่สามารถพบเจอได้ทั่วไปภายในผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เป็นตัวแปลนอกเหนือจากครีมกันแดดเพียงอย่างเดียว โดยค่า SPF 30 จะสามารถดูดซับรังสี UV ได้สูงสุดมากถึงประมาณ 97 % ซึ่งเป็นระดับการปกป้องผิวที่ได้ประสิทธิภาพมากกว่า SPF 15 และได้รับการแนะนำเป็นอย่างสูง เหมาะสมที่สุดหากออกไปทานอาหารกลางวันข้างนอก หรือพาสุนัขไปเดินเล่นในตอนเช้า
SPF 50
SPF 50 เป็นระดับค่าความสูงที่สูงที่สุดที่สามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาด ในปัจจุบัน ค่า SPF 50 จะดูดซับรังสี UV ได้ประมาณ 98 % เพราะฉะนั้นจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะแก่คนที่จะต้องเจอแสงแดดตลอดวันในปริมาณที่ค่อนข้างนาน เช่น หากคุณเดินทางไกลจากบ้านไปยังที่ทำงาน หรือวางแผนที่จะออกไปวิ่งในตอนกลางวัน เปอร์เซ็นต์การปกป้องผิวหนังด้วยระดับ SPF 50 จึงเป็นวิธีที่สามารถการป้องกันผิวหนังที่ได้ผลมากที่สุด
ครีมกันแดดทาเป็นประจำทุกวันหรือไม่?
การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เป็นวิธีเริ่มต้นในการดูแลผิว และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องปัญหาผิวที่แก่ก่อนวัย เช่น ริ้วรอยร่องตื้น , ริ้วรอยร่องลึก และจุดด่างดำ ซึ่งสาเหตุดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยตรงต่อผิวหนัง จากการถูกทำร้ายของรังสี UVA และ UVB
ถึงอย่างไรก็ตาม การเลือกใช้ครีมกันแดดที่ดี ที่มีผลโดยตรงต่อการดูแล และบำรุงผิวในทุกวัน ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ ค่า SPF ที่ปรากฏอยู่ข้างขวดเพียงอย่างเดียว เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่สำคัญอีกมากมาย ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของผิวหนัง ที่เป็นสาเหตุในการเลือกนำมาใช้งานอยากถูกต้อง โดยวันนี้ได้เลือกตัวอย่างที่สำคัญแยกออกมาเป็นหัวข้อดังนี้ค่ะ
1.ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพในการดูแลผิว ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันผิวจาก รังสียูวีเอ (UVA) ควบคู่ไปด้วย เพราะรังสีจาก UVA เป็นต้นเหตุของอาการความเหี่ยวย่นที่เกิดขึ้นของผิว และยังเป็นรังสีที่สามารถก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังบางชนิดอีกด้วย โดยดูจากเครื่องหมาย “PA+” เพราะถ้าผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่แสดงถึงจำนวนเครื่องหมาย + ในจำนวนที่มาก ก็หมายถึงความสามารถในการป้องกันแสงแดดในปริมาณความร้อนที่มากขึ้น หรือถ้าเป็นครีมกันแดดบางชนิด ที่มีการจัดจำหน่ายเฉพาะบางประเทศ ก็จะใช้รูปดาวตั้งแต่ 1-4 ดาว เป็นค่าแสดงถึงการป้องกันที่มากขึ้นตามลำดับ
2.ต้องทาให้ถูกวิธี เพราะการทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธี จะช่วยเพิ่มการดูแลผิว และประสิทธิภาพในการปกป้องผิว จากแสงแดด และรังสีต่าง ๆ ได้ตลอดทั้งวัน
- ควร “ทาก่อน” ที่จะออกแดดเป็นเวลา 15-30 นาที
- “ทาหนา” การทาครีมกันแดดในปริมาณเยอะอย่างเห็นผล และคุ้มค่าที่สุด เนื่องจากการป้องกันแดดจากรังสีต่าง ๆ ให้ได้ผล และมีประสิทธิภาพเต็มที่มากที่สุด จะต้องทาครีมให้ปริมาณที่เพียงพอ หรือก็คือต้องใช้ปริมาณของครีมกันแดดให้อยู่ที่ 2 ข้อนิ้ว สำหรับทาหน้า และคอ หรือจะแบ่งเป็นทาทีละ 1 ข้อนิ้วของแต่ละส่วนของร่างกาย และซ้ำตรงบริเวณจุดเดิมสองครั้ง
- “ทาซ้ำ” ระหว่างวันที่ต้องเจอกับสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นสาเหตุให้ครีมกันแดดจะถูกเหงื่อ และการชะล้างออกไปจากผิวหนังได้ ดังนั้น การทาซ้ำบริเวณที่เดิมเป็นประจำทุก 2 – 3 ชั่วโมง จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะบุคลคลที่มีเหงื่อออกง่ายกว่าปกติ
สิ่งสำคัญในการใช้ครีมกันแดด ต้องอย่าลืมว่าการทาครีมกันแดดอย่างเดียว ไม่ใช่วิธีที่จะสามารถป้องกันภาวะต่าง ๆ ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมาได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงแสงแดดระหว่างวันสามารถทำได้โดยการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน เช่น ใส่หมวกระหว่างที่เดินทางระหว่างวัน หรือกางร่มที่มีการเคลือบสารป้องกัน UV ต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นวิธีที่จะสามารถนำมาใช้ร่วมกันกับการทาครีมกันแดด เพื่อเป็นการปกป้องผิวของคุณให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นได้อีกด้วย
สรุป
SPF คือ ค่าชี้วัดที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต ชนิดยูวีบี(UVB) ที่เป็นรังสีที่เกิดขึ้นกับการสัมผัสผิวโดยตรงที่มาพร้อมกับแสงแดด ซึ่งหากเรามีการทาครีมกันแดดที่เหมาะสมกับกิจกรรม และมีวิธีการทาครีมกันแดดที่ถูกต้อง ก็จะช่วยทำให้ผิวไม่ถูกทำลาย ผิวจะยังคงสุขภาพดี ไม่เกิด ผิวคล้ำ หรือ หน้าหมองคล้ำ ฝ้า ผิวไหม้แดด หรือรอยแดดจากแดดขึ้น เพราะฉะนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก โดยที่ครีมกันแดดที่ดี จะต้องมีสรรพคุณที่เกิดความอ่อนโยนต่อผิว ไม่มีสารปนเปื้อน ไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย สามารถกันน้ำ กันเหงื่อ ที่เหมาะแก่การที่จะพร้อมลุยในทุกกิจกรรมที่จะต้องเผชิญภายในชีวิตประจำวัน โดยไม่ต้องกังวลว่าการป้องกันจะจางหาย อีกทั้งสารภายในครีมกันแดดจะต้องไม่ตกค้างสะสมอีกด้วย