เริมที่อวัยเพศหญิง อันตรายไหม เกิดจากอะไร กี่วันหาย?

เริมที่อวัยเพศหญิง หรือ โรคเริมที่อวัยวะเพศ คือ หนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ โดยเฉพาะในเพศหญิงเป็นเพศที่มีแนวโน้มความเสี่ยงต่อโรคเริมได้ง่ายกว่าในเพศชาย ส่งผลให้มีอาการเจ็บ เกิดอาการคัน แสบที่บริเวณช่องคลอดอย่างรุนแรง รวมไปถึงการพบบาดแผลที่อาจมีลักษณะเป็นตุ่มพองที่บริเวณอวัยวะเพศ อีกทั้งยังอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วยในขณะที่ปัสสาวะ

และในปัจจุบันโรคเริมยังเป็นโรคที่ยังไม่สามารถสามารถรักษาให้หายขาดได้ พบว่าผู้ป่วยบางรายอาจกลับมามีอาการหรือเป็นเริมที่อวัยวะเพศซ้ำอีกครั้งได้ในช่วงเวลาที่ร่างกายอ่อนแอ ภูมิตก หรือมีอาการเจ็บป่วย รวมไปถึงในช่วงที่มีประจำเดือน โรคเริมที่เคยเป็นอาจมีอาการกลับมาอีกครั้งได้เช่นเดียวกัน

เริมที่อวัยเพศหญิง เกิดจาก สาเหตุใด?

เริมที่อวัยวะเพศ มีสาเหตุการเกิดมาจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes simplex virus) ที่สามารถติดต่อได้ผ่านทางผิวหนังและทางเพศสัมพันธ์ โดยเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด กล่าวคือ

  1. ไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) อาจทำให้เกิดโรคเริมในช่องปาก
  2. ไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) อาจทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ

เมื่อเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ หรือ HSV ได้เข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังและได้มีการฝังตัวอยู่ภายในเส้นประสาทบริเวณเชิงกราน เมื่อเชื้อไวรัสเคลื่อนตามเส้นประสาทออกมายังผิวหนังจะปรากฏอาการของโรคขึ้น และเชื้อไวรัส HSV ทั้งสองชนิดสามารถพบได้ในสารคัดหลั่ง เช่น อสุจิ, ตกขาว, น้ำลาย

แต่เชื้อไวรัส HSV นั้นจะตายอย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ภายนอกร่างกาย นั่นหมายความว่าโอกาสในการติดเชื้อที่จะมาจากการใช้ห้องน้ำ การใช้ผ้าเช็ดตัวหรือการใช้อุปกรณ์ร่วมกันถือว่าเป็นไปได้น้อย โดยการติดเชื้อ HSV หรือเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ สามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกันจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้

รูปภาพประกอบจาก Freepik

ไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1)

ไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1) อาจเป็นสาเหตุที่อาจทำให้เป็นโรคเริมในช่องปากได้ ซึ่งไวรัสเริมชนิดที่หนึ่ง สามารถติดต่อได้ผ่านทางน้ำลายหรือติดเชื้อได้จากการที่แผลในบริเวณช่องปากมีการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัส และเชื้อไวรัสชนิดที่หนึ่งนี้ยังสามารถทำให้เกิด เริมที่อวัยวะเพศ ได้เช่นเดียวกัน ในกรณีของการมีเพศสัมพันธ์ทางปากโดยที่ไม่ได้มีการป้องกัน

อาการของ โรคเริม ที่ติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 1 (HSV-1)

  • มีอาการแสบร้อนที่บริเวณรอบปาก, ช่องคลอด, อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
  • มีอาการคันที่บริเวณรอบปาก, ช่องคลอด, อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
  • มีรอยแดงปรากฏที่บริเวณปาก, ช่องคลอด, อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก
  • ปรากฏตุ่มพุพองที่บริเวณในช่องปาก, ช่องคลอด, ปากมดลูก, อวัยวะเพศ, ทวารหนัก หรือที่บริเวณก้น และอาจทำให้เกิดแพลเปิดเมื่อตุ่มพองแตก
  • มีแผลเป็นตกสะเก็ดแข็งที่อาจหายเป็นปกติภายใน 4-6 วัน

ไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2)

การติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) อาจเป็นสาเหตุหลักของการเกิด เริมที่อวัยวะเพศ ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดที่สองนี้สามารถที่จะแพร่กระจายติดต่อจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่งได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน โดยเฉพาะผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยจะเป็นผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่สองได้ง่าย และอาจส่งผลให้มีเชื้อนี้อยู่ภายในร่างกายไปตลอดโดยที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

อาการ เริมที่อวัยเพศหญิง คัน ที่ติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2)

ในการติดเชื้อไวรัสเริมชนิดที่ 2 (HSV-2) นั้น โดยส่วนมากมักไม่ค่อยมีการแสดงอาการ แต่ในผู้ป่วยบางรายเองอาจมีการแสดงอาการดังต่อไปนี้ได้เช่นเดียวกัน

  • มีอาการคันที่บริเวณต้นขา, ก้น, อวัยวะเพศ, ช่องคลอด, ปากมดลูก หรือทวารหนัก
  • มีตุ่มแดงที่บริเวณต้นขา, ก้น, อวัยวะเพศ, ช่องคลอด, ปากมดลูก หรือทวารหนัก
  • มีแผลตกสะเก็ดที่บริเวณต้นขา, ก้น, อวัยวะเพศ, ช่องคลอด, ปากมดลูก หรือทวารหนัก
  • รู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • มีไข้
  • ต่อมน้ำเหลืองโต

วิธีการรักษา เริมที่อวัยเพศหญิง รักษา อย่างไร?

เริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาเริมที่อวัยวะเพศสามารถที่จะบรรเทาและรักษาได้ด้วยการรับประทานยาต้านไวรัส อย่างเช่น อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) และวาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เพื่อลดความรุนแรงของการติดเชื้อ และลดความถี่ของการเกิดซ้ำ สามารถช่วยให้แผลหายเร็วมากยิ่งขึ้นสำหรับผู้ที่ติดเชื้อครั้งแรก รวมไปถึงลดการแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่น และในกรณีที่เกิดอาการขึ้นซ้ำแพทย์จะทำการวินิจฉัยอาการ และทำการจ่ายยาตามอาการเนื่องจากอาการติดเชื้อไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก

สำหรับสตรีตั้งครรภ์ที่มีการติดเชื้อไวรัสและเป็นเริมที่อวัยวะเพศ อาจส่งผลร้ายแรงอย่างมากต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ โดยแพทย์จะทำการสั่งจ่ายยาหรืออาจมีคำแนะนำให้รับประทานยาต้านไวรัสถ้าหากมีการตรวจพบรอยโรคที่อวัยวะเพศหรือทางช่องคลอด และอาจแนะนำให้ทำการผ่าคลอดแทนการคลอดแบบธรรมชาติ เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสไปยังทารก และนอกเหนือไปจากการรับประทานยาต้านไวรัส ผู้ป่วยที่เป็นโรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถดูแลตัวเองปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อให้อาการบรรเทาลงได้ดังต่อไปนี้

  • ใช้น้ำเปล่าหรือน้ำเกลือล้างอวัยวะเพศ
  • ขณะที่ทำการปัสสาวะอาจทำการฉีดน้ำล้างอวัยวะเพศเพื่อบรรเทาอาการแสบ
  • ทำการประคบเย็นเมื่อรู้สึกปวดแผล แต่ไม่ควรที่จะใช้น้ำแข็งประคบเย็นโดยตรง ควรใช้ผ้าสะอาดนำเอามาห่อน้ำแข็งก่อนทำการประคบ
  • ใช้ยาทาแก้ปวดหรือปิโตรเลียมเจล เพื่อลดอาการเจ็บแสบ ก่อนใช้ยาทาควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคืองของผิว ด้วยการไม่สวมเสื้อผ้าหรือกางเกงชั้นในที่รัดแน่น
  • ไม่ควรสัมผัสบริเวณแผลหรือตุ่มพุพอง นอกเหนือไปจากช่วงเวลาการทายา เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
  • งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าแผลจะหาย
รูปภาพประกอบจาก Freepik

การป้องกันและหลีกเลี่ยงการเกิด เริมที่อวัยเพศหญิง

โรคเริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น การป้องกันและการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรคเริมที่อวัยวะเพศ คือสิ่งที่สามารถทำให้ห่างไกลจากการติดเชื้อไวรัสทางเพศสัมพันธ์ได้ โดยการป้องกันการเกิดเริมที่อวัยวะเพศสามามารถที่จะป้องกันได้ด้วยตัวเอง ด้วยวิธีการเหล่านี้

  1. ในการมีเพศสัมพันธ์ควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้ง
  2. หลีกเลี่ยงหรือปฏิเสธการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเมื่อสังเกตเห็นแผลพุพอง หรือสังเกตเห็นอาการคันที่บริเวณอวัยวะเพศของอีกฝ่าย
  3. หากตนเองมีอาการที่เข้าข่ายโรค ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส
  4. หลีกเลี่ยงการแบ่งปันของใช้ร่วมกัน อาทิเช่น เซ็กส์ทอย (Sex Toy), ผ้าขนหนู เป็นต้น
  5. งดการสูบบุหรี่ การดื่มสุรา เนื่องจากอาจส่งผลให้อาการเริมกลับมากำเริบได้อีกครั้ง

สรุป เริมที่อวัยเพศหญิง อันตรายไหม?

เริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถแพร่เชื้อต่อได้ โดยระยะเวลาในการแสดงอาการอาจจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล โดยความผิดปกติที่เกิดขึ้นในบริเวณอวัยวะเพศอาจนำไปสู่การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และในกรณีของผู้ป่วยที่มีการตั้งครรภ์อาจแพร่เชื้อไปยังทารกและอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ ดังนั้น หากรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย มีอาการคัน มีอาการแสบ ถึงแม้จะยังไม่มีตุ่มพุพองเกิดขึ้น หากรู้สึกถึงอาการที่เข้าข่ายของอาการเริมที่อวัยวะเพศ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและทำการรักษาตามอาการในทันที สำหรับผู้ป่วยที่กำลังมีอาการหรือกำลังเป็นเริมที่บริเวณอวัยวะเพศ ไม่ต้องกังวลใจแต่อย่างใด ถึงแม้โรคเริมที่อวัยวะเพศจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่โรคเริมที่อวัยวะเพศสามารถรักษาบรรเทาอาการไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำบ่อยๆ ได้ หากได้รับการรักษาที่ถูกวิธี

ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติม จากแหล่งที่มา

Scroll to Top