ยาคุมฉุกเฉิน หรือ ยาคุมกำเนิด ผลข้างเคียงมีไหม กินตอนไหน ให้ได้ผล 100%

ยาคุมฉุกเฉิน หรือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ผลข้างเคียงมีไหม กินตอนไหน ต้องกินยาภายในกี่ช่วงโมง หาคำตอบได้ที่นี่! ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน (Emergency Contraceptive Pill หรือ EPC) เป็นยาที่ช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์ที่ไม่พึ่งประสงค์ ที่อาจเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกัน ทั้งการไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือไม่ได้รับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติ โดยยาคุมกำเนิดฉุกเฉินสำหรับผู้หญิงจะรับประทานหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งควรรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์เพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด

การทำงานของยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

กลไกในการทำงานของยาคุมฉุกเฉินในการป้องกันการตั้งครรภ์ มีการศึกษาพบว่ายาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการยับยั้ง ชะลอ หรือทำให้การตกไข่จากมดลูกของผู้หญิงเลื่อนออกไป หรือหากรับประทานยาหลังจากมีการตกไข่ไปแล้ว ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินก็ยังสามารถไปขัดขวางการปฎิสนธิโดยจะสร้างเมือกขึ้นในท่อนำไข่ ส่งผลให้อสุจิและไข่เคลื่อนเข้าหากันยากขึ้น หรือแม้แต่หากว่ารับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินหลังจากที่ไข่กับอสุจิผสมกันแล้ว ตัวยาก็ยังสามารถเข้าไปขัดขวางไม่ให้ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วฝังตัวที่ผนังมดลูก จะเห็นได้ว่าประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีความหลากหลายแต่ก็มุ่งเน้นในเรื่องของการยับยั้งโอกาสในการตั้งครรภ์เป็นสำคัญ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าเป็นยาที่ควรใช้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น

ยาคุมฉุกเฉิน กินตอนไหน ต้องกินภายในกี่ชั่วโมง

ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน มีลักษณะเป็นยาเม็ด มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว และ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม

  1. ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (Progestin-Only Pill Regimen) มีส่วนประกอบคือ ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน ในรูปของ เลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) ปริมาณ 750 ไมโครกรัม ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีผลในการยับยั้งการตกไข่ รบกวนการเคลื่อนตัวและการทำหน้าที่ของอสุจิในทางเดินระบบสืบพันธุ์ ขัดขวางความสามารถของเยื่อบุมดลูกในการรองรับการฝั่งตัวของตัวอ่อน

สำหรับวิธีการรับประทานยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ควรรับประทานทันที 1 เม็ด ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ และรับประทานอีก 1 เม็ดในอีก 12 ชั่วโมงถัดมา ซึ่งโดยปกติยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว จะมีเลโวนอร์เจสเตรลอยู่ที่ 750 ไมโครกรัม หรือ 0.75 มิลลิกรัมต่อเม็ด โดยทางการแพทย์แนะนำว่าควรกินยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว เลโวนอร์เจสเตรล ที่ปริมาณ 1.5 มิลลิกรัม จึงให้ประสิทธิภาพที่ดีในการยับยั้งการตั้งครรภ์ ทำให้บางครั้งแพทย์อาจจะแนะนำให้กินยาคุมฉุกเฉิน เลโวนอร์เจสเตรล ครั้งละ 2 เม็ด 2 ครั้งตามระยะเวลาที่ได้กล่าวไป หากแพทย์พิจารณาแล้วว่าไม่ได้ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งการตั้งครรภ์

โดยชื่อทางการค้าของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยวก็มีอย่างเช่น Postinor และ Madonna เป็นต้น

  1. ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Pill Regimen: Yuzpe Method) คือยาคุมกำเนิดแบบปกติซึ่งมีฮอร์โมนเพศหญิงอย่าง เอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นส่วนประกอบรวมกัน ซึ่งจะมีฮอร์โมน เอธิลเอสตราดิออล (Ethinylestradiol) 50 ไมโครกรัม (0.5 มิลลิกรัม) และ เลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) 250 ไมโครกรัม (0.25 มิลลิกรัม)

สำหรับการรับประทานยาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม ต้องรับประทานยา 2 เม็ดภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ และอีก 12 ชั่วโมงต่อมาต้องรับประทานยาซ้ำอีก 2 เม็ด 

นอกจากนี้ยังมียาคุมฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวมที่มีปริมาณฮอร์โมนที่น้อยกว่าปกติ หรือ low dose หมายความว่ามีส่วนประกอบของฮอร์โมน เอธิลเอสตราดิออล (Ethinylestradiol) แค่ 30 ไมโครกรัม (0.3 มิลลิกรัม) และ เลโวนอร์เจสเตรล (Levonorgestrel) เพียงแค่ 150 ไมโครกรัม (0.15 มิลลิกรัม) เวลารับประทานยาต้องมีการเพิ่มปริมาณจากครั้งละ 2 เม็ด เป็นครั้งละ 4 เม็ด และรับประทานต่อเนื่องกัน 2 เวลาเช่นกัน

ชื่อทางการค้าของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนรวม ได้แก่ Eugynon, Ovral, Nordette, Microgest, Microgynon, Microlenyn และ Rigevidon เป็นต้น

ผลข้างเคียง และ ข้อควรระวัง

  • การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ได้การันตีว่าจะไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ 100% จากข้อมูลทางการแพทย์การรับประทานยาคุมฉุกเฉินตรงตามระยะเวลาที่มีการแนะนำจะให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งและป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75%-85%
  • การใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างถูกวิธี คือใช้เมื่อต้องการยับยั้งการตั้งครรภ์ในกรณีฉุกเฉินจริงๆ โดยปกติมักไม่ค่อยก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ แต่ในผู้ใช้บางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ปวดท้อง โดยเฉพาะกับผู้ที่รับประทานยาในปริมาณตัวยาค่อนข้างสูง
  • การรับประทานยาคุมฉุกเฉินพร้อมกับอาหารจะสามารถลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ได้
  • การรับประทานยาคุมฉุกเฉินควรรับประทานทันทีหลังการมีเพศสัมพันธ์ และต้องรับประทานครั้งที่ 2 ให้ได้ในอีก 12 ชั่วโมงถัดมา ต้องมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมเพื่อให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ควรเลื่อนระยะเวลาในการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินในครั้งที่ 2 ออกไปโดยไม่จำเป็นเพราะมีผลต่อประสิทธิภาพของยา
  • ถ้ารับประทานยาคุมฉุกเฉินไปแล้วเกิดการอาเจียนภายใน 2 ชั่วโมง ต้องรับประทานยาใหม่อีกครั้งเพิ่มอีก 1 ชุดทันที
  • ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินในปริมาณที่มีการแนะนำไว้ เพราะการรับประทานยาในปริมาณที่มากเกินกว่าที่แนะนำไม่ได้ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการยับยั้งและป้องกันการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้น แต่อาจจะส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงอย่าง อาการคลื่นไส้ อาเจียน เพิ่มมากขึ้น
  • ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคลมชัก โรคหัวใจ โรคเลือดแข็งตัว และโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นเลือดหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพราะยาคุมกำเนิดทั้งแบบฉุกเฉินและแบบปกติเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน
  • สำหรับผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบธรรมดา จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

ใครบ้าง? ที่ควรใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ใช้วิธีคุมกำเนิดใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ต้องการให้มีการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
  • คู่ที่มีใช้ถุงยางขณะมีเพศสัมพันธ์ แต่เกิดถุงยางฉีกขาด หรือไม่แน่ใจว่าถุงยางที่ใช้ มีการรั่ว แตก หรือหลุดหรือไม่
  • ผู้ใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นๆ แต่ไม่มั่นใจว่าทำถูกต้องแล้วหรือไม่ มีความกังวลเรื่องการตั้งครรภ์
  • ผู้ที่ถูกข่มขืน หรือมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เต็มใจ

การรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแล้วยังตั้งครรภ์ จะส่งผลให้เกิดการแท้งหรือไม่?

หลายคนมีคำถามว่า หากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีผลให้เกิดการแท้งหรือไม่? หากรับประทานยาในภาวะที่อสุจิฝังตัวในรังไข่ไปแล้ว ข้อมูลทางการแพทย์ที่มีอยู่ชี้ชัดว่าการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินไม่ได้ส่งผลต่อการแท้งแต่อย่างใด ซึ่งในทางการแพทย์จะถือให้การตั้งครรภ์เริ่มต้นขึ้นเมื่อไข่ที่ได้รับการผสมกับอสุจิมีการฝั่งตัวที่มดลูกอย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งโดยปกติกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ การฝั่งตัวจึงจะเสร็จสมบูรณ์ โดยยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะไม่มีผลใดๆ เมื่อไข่เริ่มต้นกระบวนการฝังตัวที่มดลูก ดังนั้นการรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจึงไม่ใช่เหตุผลของการแท้งอย่างแน่นอน

หากรับประทานยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแล้วยังตั้งครรภ์ จะส่งผลเสียต่อเด็กในครรภ์หรือไม่?

จากการศึกษาทางการแพทย์ สามารถมั่นใจได้ว่าการรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ส่งผลใดๆ ต่อความพิการหรือผิดปกติของทารกในครรภ์ กรณีที่มีการตั้งครรภ์ ไม่ว่าจะเป็นในกรณีที่ผู้หญิงรับประทานยาคุมฉุกเฉินโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ หรือรับประทานยานี้เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์แต่ไม่ได้ผล การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่ส่งผลใดๆ ต่อทารกที่คลอดออกมา นอกจากนี้การรับประทานยาคุมฉุกเฉินไม่เป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์ในภายหลัง ไม่มีผลทำให้การตั้งครรภ์ครั้งถัดไปช้าลง

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Scroll to Top