อาการก่อนเมนส์มา น้ันจะมีอาการผิดปกติของร่างกายที่ผู้หญิงแทบทุกคนจะต้องพบเจอ โดยอาการก่อนเป็นประจำเดือน (Premenstrual syndrome) หรือที่มักเรียกกันว่า PMS คืออาการที่มักจะส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ โดยลักษณะอาการนั้นอาจมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล อาทิเช่น ปวดหลัง, เจ็บหน้าอก, ปวดท้อง หรืออารมณ์แปรปรวน เป็นต้น ซึ่งนอกจากความแตกต่างของลักษณะอาการที่เกิดขึ้นแล้ว ความรุนแรงของอาการเองขึ้นอยู่กับบุคคลด้วยเช่นเดียวกัน แต่สำหรับเพศหญิงที่กำลังเผชิญกับอาการ PMS เหล่านี้อยู่ รู้หรือไม่ว่าอาการเหล่านี้สามารถรักษาและรับมือได้
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ “ประจำเดือน” เพื่อรับมือกับ อาการก่อนเมนส์มา
ประจำเดือน (Menstruation หรือ Period) อาการที่เกิดขึ้นกับเพศหญิงที่เข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธุ์ กล่าวคือ เลือดและเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดและไหลออกจากทางช่องคลอด และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เป็นปกติเป็นประจำในทุกเดือนเมื่อไม่มีการตั้งครรภ์ ซึ่งโดยปกติร่างกายจะทำการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone) หรือที่เรียกว่า ฮอร์โมนเพศ เพิ่มขึ้นเพื่อเป็นการกระตุ้นให้รังไข่ได้มีการปล่อยไข่ออกมา ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาขึ้นเพื่อพร้อมรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนที่ซึ่งเกิดเป็นการตั้งครรภ์ แต่เมื่อไม่มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นฮอร์โมนเพศจะลดลง ส่งผลให้เยื่อบุโพรงมดลูกที่ไม่มีการฝังตัวอ่อนหลุดลอกออก โดยประจำเดือนจะไหลออกมาในทุกๆ 28-30 วัน และระยะเวลาอาจแตกต่างกันออกไป อาจช้าหรือเร็วกว่านั้นขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล
อาการก่อนเมนส์มา1วัน หรือ PMS คืออะไร?
อาการก่อนเมนส์มา หรืออาการก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome) หรือที่มักเรียกกันว่า PMS คือลักษณะกลุ่มอาการที่เกิดจากความผิดปกติของร่างกายและอารมณ์ที่มักเกิดขึ้นในช่วงไข่ตก หรือเกิดขึ้นก่อนประจำเดือนมา 1 สัปดาห์ โดยประมาณ ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้วอาการก่อนเป็นประจำเดือนมักจะหายไปเองภายในระยะเวลา 1-2 วัน หลังจากมีประจำเดือน ถึงแม้อาการก่อนมีประจำเดือน หรือ PMS จะเป็นอาการที่ยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่อาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายในร่างกาย อย่างเช่น ความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ที่มีความเปลี่ยนแปลงในช่วงรอบเดือน หรืออาจเกิดขึ้นได้จากปัจจัยภายนอก อาทิเช่น พฤติกรรมการไม่ออกกำลังกาย, ความเครียดสะสม, พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ เป็นต้น
อาการก่อนเมนส์มา อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยเหล่านี้
- ความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุล จึงอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือนได้
- การเปลี่ยนแปลงของเคมีในสมอง อย่าง เซโรโทนิน (Serotonin) สารสื่อประสาทที่มีบทบาทหน้าที่สำคัญต่อสภาวะทางสมอง ซึ่งหากระดับเซโรโทนินต่ำ อาจทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายหรืออาจทำให้นอนไม่หลับ และเพิ่มความอยากอาหาร แต่ในกรณีที่ระดับเซโรโทนินสูง อาจทำให้เกิดอาการไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น และท้องเสียได้เช่นเดียวกัน
- ความเครียดสะสม สภาพจิตใจและร่างกาย อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการก่อนมีประจำเดือน
- พฤติกรรมการดื่มแอลกอฮอล์และพฤติกรรมการสูบบุหรี่ รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ อาจทำให้มีอาการก่อนเมนส์มาได้
- ผู้ที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน BMI หรือผู้ที่เป็น โรคอ้วน มีแนวโน้มที่อาจเจออาการก่อนมีประจำเดือนได้มากกว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานถึง 3 เท่า โดยประมาณ
สัญญาณเตือนของ อาการก่อนเมนส์มาครั้งแรก
อาการก่อนมีประจำเดือนนั้นอาจแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละบุคคล และในบางรายอาการที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนนั้นอาจแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยอาการก่อนมีประจำเดือนแบ่งออกเป็น 2 ด้านหลักๆ ดังต่อไปนี้
สัญญาณเตือน อาการก่อนเมนส์มา ที่เกิดขึ้นทางด้านร่างกาย
- ปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูกหรือท้องเสีย
- ปวดศีรษะ
- ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
- มี สิว ขึ้น
- รู้สึกเจ็บที่บริเวณเต้านมหรือคัดตึงเต้านม
- มือและเท้าบวม
- ความรู้สึกอยากอาหารเพิ่ม
- น้ำหนักเพิ่ม
สัญญาณเตือน อาการก่อนเมนส์มา ที่เกิดขึ้นทางด้านพฤติกรรมและอารมณ์
- รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย
- เครียดหรือวิตกกังวลมากกว่าปกติ
- อารมณ์แปรปรวน ฉุนเฉียวง่าย
- มีความรู้สึกเหงา เศร้า ร้องไห้บ่อย
- อาจมีปัญหาเรื่องของการนอน เช่น นอนไม่หลับ
- ปลีกตัวจากผู้อื่น ไม่อยากพบเจอผู้คน
- ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานๆ ได้
- หลงลืมง่าย
- รู้สึกกระวนกระวาย
- รู้สึกหวาดระแวง
- ความสนใจเรื่องเพศลดน้อยลง
อาการก่อนเมนส์มา1วัน ป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
อาการก่อนมีประจำเดือน สามารถป้องกันและบรรเทาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ดังต่อไปนี้
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ผัก, ผลไม้ลดน้ำหนัก , ธัญพืช และการเลือกรับประทานวิตามินบี, วิตามินซี, แคลเซียม และ แมกนีเซียม เพื่อบรรเทาอาการเหนื่อยล้า อาการหงุดหงิด อาการปวดศีรษะ ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชาและกาแฟ รวมไปถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่อาจส่งผลให้ร่างกายเกิดการตื่นตัว เพื่อแก้ไขอาการ นอนไม่หลับ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากบุหรี่มีสารนิโคติน (Nicotine) ที่ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ที่ทำให้เกิดอาการหงุดหงิดเมื่อไม่ได้สูบบุหรี่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที หรือ 150 นาทีต่อสัปดาห์ โดยเลือกออกกำลังกายประเภทที่มีความเข้มข้นปานกลาง เช่น การเดินเร็ว, การว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค หรือเลือกออกกำลังกาย 75 นาทีต่อสัปดาห์ โดยเลือกออกกำลังกายประเภทที่มีความเข้มข้นสูง เช่น การกระโดดเชือกหรือการกระโดดตบ เป็นต้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 ชั่วโมง
- หลีกเลี่ยงความเครียดหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้เกิดความเครียดได้ง่าย เลือกรับมือความเครียดด้วยกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การนวดผ่อนคลาย, เล่นโยคะ หรือการหากิจกรรมที่มีความสนใจ
บรรเทา อาการก่อนเมนส์มา ด้วยการรักษาทางการแพทย์
- บำบัดด้วยการพูดคุย การพูดคุยและการปรึกษานักจิตวิทยาอาจช่วยให้รับมือกับความวิตกกังวลที่เกิดจากอาการก่อนมีประจำเดือนได้
- ยาแก้ปวด (Painkiller) เช่น ยานาพรอกเซน (Naproxen), ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และ ยาอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) รับประทานเพื่อบรรเทาอาการปวด
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics) ยากระตุ้นการขับปัสสาวะมีฤทธิ์ช่วยระบายของเหลวออกจากร่างกาย เพื่อลดอาการบวมน้ำที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่อาจช่วยลดอาการคัดตึงเต้านมและลดอาการท้องอืดได้
- ยาคลายวิตกกังวล (Anti-anxiety medicine) หรือยาคลายเครียด เพื่อลดความวิตกกังวล และอาจทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น
การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร และรับประทานตามเอกสารประกอบยาอย่างเคร่งครัด ไม่ควรหาซื้อยามาเพื่อรับประทานเองโดยเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ
สรุป
อาการก่อนมีประจำเดือนเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเพศหญิงที่เข้าสู่ช่วงวัยเจริญพันธุ์หรือเพศหญิงที่โตเต็มวัย โดยอาการก่อนมีประจำเดือนเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติของร่างกาย ที่อาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย อารมณ์ และพฤติกรรม แต่โดยปกติทั่วไปอาการที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนจะสามารถหายได้เองภายในระยะเวลา 1-2 วัน หลังจากการมีประจำเดือน โดยสามารถป้องกันและบรรเทาอาการก่อนมีประจำเดือนได้ง่ายๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง หรือการรับประทานยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
แต่หากอาการที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีอาการปวดท้องที่รุนแรงจนไม่สามารถไปทำงานหรือไปเรียนได้ มีความรู้สึกซึมเศร้าจนไม่สามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันปกติได้ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการรักษาตามแนวทางที่เหมาะสมต่อไป เพื่อป้องกันไม่ให้อาการมีความรุนแรงขึ้นและพัฒนาไปเป็นกลุ่มอาการอารมณ์ผิดปกติก่อนมีประจำเดือนที่มีความรุนแรงอย่างมาก ทั้งในด้านของอารมณ์และพฤติกรรมการแสดงออก อาทิเช่น ซึมเศร้าอย่างหนัก อาการแพนิคอย่างรุนแรง เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมบางส่วน จากแหล่งที่มา
- https://www.webmd.com/women/pms/what-is-pms
- https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/premenstrual-syndrome/symptoms-causes/syc-20376780
- https://www.womenshealth.gov/menstrual-cycle/premenstrual-syndrome